Monday, April 09, 2007

พอเพียง คือ อะไร

ช่วงนี้หลายคนพูดคำว่าพอเพียง ตั้งแต่รัฐบาลลงมาจนถึงชาวบ้านทั่ว ๆ ไป แต่มีสักคนใหมทีช่วยอธิบายคำว่าพอเพียงแบบชัด ๆ หน่อยว่ามันคืออะไร โดนเฉพาะคำว่า เศรษฐกิจพอเพียง mk ก็เคยบอกว่าไม่เข้าใจ ผมก็เป็นคนหนึ่งดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ แต่วันนี้ผมมีคำตอบในมุมของผม มันถูกในมุมของผม เพราะตรรกะในสมองผมมันยอมรับคำอธิบายนี้ สำหรับคนอื่น ๆ ก็ตัวใครตัวมัน ลองอ่านกันดู


เมื่อวันศุกร์ที่ผ่ามาผมกลับไปเยี่ยมพ่อที่บ้าน ก็เลยได้มีีโอกาสได้นั่งคุยกับพ่อหลายเรื่อง ตอนสุดท้ายพ่อพูดถึงเรื่องความสบาย ท่านบอกว่าการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ต้องทำให้สบาย คำว่าสบายในที่นี้ไม่ได้หมายถึง ให้ขี้เกียจแล้วกิน ๆ นอน ๆ ทำเล่น ๆ ไปวัน ๆ แต่ท่านหมายถึงทำแล้วมันไม่บีบตัวเองมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นพนักงานบริษัทมีเงินเดือน 20,000 บาท เราต้องการจะซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อโทรศัพท์ ซื้อคอมพิวเตอร์ ก็ซื้อมันซะทุกอย่าง บ้านหลังละ 2,000,000 บาท รถวีโก้คันละ 800,000 บาท โทรศัพท์เครื่องละ 20,000 บาท คอมพิวเตอร์เครื่องละ 80,000 บาท ทุกอย่างต้องผ่อนหมด เพราะไม่มีปัญญาซื้อเงินสด แต่อยากได้ แบบนี้มันบริหารลำบาก เราจะรู้สึกได้ว่ามันไม่สบาย มันบีบรัดและทำให้เราอึดอัดเกินไป คนที่จะตอบคำถามได้ว่ามันสบายหรือเปล่า ก็คือเรานี่แหละ

เราบอกได้แน่นอนว่าปัจจุบันเราโดนบีบรัดมากเกินไปหรือเปล่า เราต้องโดนบีบคั้นในสิ่งที่เราทำอยู่หรือเปล่า พ่อบอกว่าถ้าเราเริ่มรู้สึกไม่สบายให้พึงระลึกไว้ว่าเราเริ่มทำสิ่งที่เกินกำลังของตัวเองเกินไป ซึ่งถ้าปล่อยไปเรื่อย ๆ จนเกินกำลังมาก ๆ จะเป็นผลเสีย สุดท้ายมันบีบเราจนตายก็มี อย่างในกรณีข้างบน เราอาจจะเลือกซื้อรถมือสองอย่าง Toyota D4D รุ่นแรก ราคาไม่เกิน 300,000 ดูแลรักษามันให้ดี ๆ บ้านก็เช่าไปก่อน โทรศัพท์ซื้อเครื่องละ 1,500 บาท เงินสดก็พอ ส่วนคอมพิวเตอร์ก็เอาแค่พอมีกำลังซักเครื่องละ 30,000 - 40,000 บาท ผ่อนซัก 6 เดือน พอผ่อนรถ ผ่อนคอมพิวเตอร์หมดแล้ว ซึ่งไม่น่าจะใช้เวลานานเพราะราคาไม่แพง ค่อยเริ่มขยับขยายดูบ้านต่อไป ตัวอย่างนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะงานของแต่ละคนด้วย เช่นอาชีพโปรแกรมเมอร์อาจจะซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องละ 80,000 บาท แต่ชะลอการซื้อรถออกไปก่อน ถ้าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นมันทำให้เราทำงานได้สบายขึ้น ดีขึ้น ประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น

การทำธุรกิจก็เหมือนกันถ้าเราทำแล้วมันสบาย เราก็ทำไปตามกำลัง ทำอะไรก็ได้ทำไปเถอะ ตามกำลังที่เรามี ถ้าเรามีสิ่งที่จะทำแต่กำลังไม่มี ก็ไปหากำลังมาเพิ่ม ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเราขาดกำลังด้านไหน กำลังคน กำลังทรัพย์ กำลังความรู้ ฯลฯ ถ้าหาไม่ได้แล้วไปทำเราจะรู้สึกได้ว่ามันยาก มันไม่สบาย พ่อให้ผมดูที่ความรู้สึกสบายเป็นหลัก

ผมนั่งฟังพ่อไปนึกถึงคำว่า พอเพียง ขึ้นมาอย่างชัดเจน คำว่าพอเพียงที่ในหลวงท่านนำมาสั่งสอนเราให้ดำเนินชีวิตตาม ต่างคนต่างตีความไปตามตรรกะของตัวเอง ถูกบ้าง ผิดบ้าง เฉียด ๆ บ้าง ตามภูมิปัญญาที่แต่ละคนมี คนส่วนหนึ่งเข้าใจว่า พอเพียงคือกลับไปทำไร่ทำนา หาเลี้ยงตัวได้ ซึ่งถูกในมุมของชาวบ้านหรือเกษตรกร แต่จะให้วิศวกรจบจากมหาวิทยาลัยไปทำแบบนั้นมันก็ไม่เข้าท่า หลายคนก็รู้ว่าแบบนี้มันไม่ถูก แต่ก็หาคำที่อธิบายชัด ๆ ไม่ได้ว่าตรงไหนคือ พอเพียง

เครือซีเมนต์ไทยมีธุรกิจใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ เขาบอกว่าเขายึดหลักพอเพียง โดยตัดธุรกิจที่ตัวเองไม่ถนัดออกไป หลังจากเจอพิษเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้ธุรกิจฟื้นขึ้นมาได้ ผมว่ามันก็โยงกลับมาที่ความสบายอีกนี่แหละ เพราะถ้าเราทำในสิ่งที่เราถนัด เราก็จะสบาย ในทางตรงกันข้ามถ้าเราทำในสิ่งที่เราไม่ถนัด เราจะเริ่มอึดอัดทันที แต่ก็ไม่ใช่ว่าอะไรที่เราไม่ถนัดเราก็จะไม่ทำเลยตลอดชีวิต ถ้าวันนี้เราไม่ถนัดแต่เราเริ่มเรียนรู้และปรับตัว สั่งสมประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ ตามกำลังแบบสบาย ไม่เรียนรู้แบบบีบตัวเองเกินไป วันหนึ่งข้างหน้าเราก็พร้อมที่จะทำสิ่งที่เราเคยไม่ถนัด เพราะตอนนั้นเราจะถนัดแล้ว ณ ตอนนั้นเราก็จะทำได้แบบสบาย

อีกตัวอย่าง 7-Eleven ขยายตัวในช่วง 1 - 2 ปีที่ผ่านมาจาก 2,500 สาขา เป็น 5,000 กว่าสาขา และคาดว่าจะขยายถึง 10,000 สาขาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถือว่าพอเพียงหรือเปล่า ตัวเลขพวกนี้มันไม่ได้เป็นตัวที่บอกว่าเขาทะเยอทะยานเร่งขยายสาขาเกินไปเป็นการไม่พอเพียง แต่มันอยู่ที่กำลังของเขาว่าเขามีกำลังที่จะทำเรื่องนี้อย่างสบายหรือเปล่า ถ้าเขามีกำลังพอและขยายสาขาปีละ 3,000 สาขาได้ โดยไม่บีบตัวเองและคนในองค์กรมากเกินไป แบบนี้ผมก็ถือว่าพอเพียงเพราะเขาทำแบบสบาย ๆ แต่ถ้าเขาไม่มีกำลังที่จะขยายสาขา อย่าว่าแต่ 3,000 สาขาเลย แค่ 500 สาขาก็ถือว่าไม่พอเพียงแล้ว

เพราะฉะนั้นให้จำไว้ ถ้าเราพอเพียง เราจะรู้สึก สบาย ไม่ค่อยทุกข์ แต่ถ้าเรา ไม่พอเพียง เราจะรู้สึกไม่สบาย อึดอัด แล้วก็ทุกข์ ยกเว้นคุณจะเป็นมือเซียนในการภาวนา แยกความทุกข์ ออกจากจิต ได้แล้ว กรณีแบบนี้คุณจะทำอะไรก็ได้เพราะคุณไม่ทุกข์แล้ว ส่วนคนทั่ว ๆ ไปต้องจำให้ขึ้นใจคือ ต้องทำให้ พอเพียง ต้องทำให้ สบาย

Monday, December 25, 2006

IE7 Bug

ไม่รู้ใครเจอบ้างหรือเปล่า เจอแบบนี้เยอะมาก ทำไม IE7 ย้ำคิดย้ำทำ ไมโครซอพท์ประเทศไทยทำอะไรอยู่น้อ

IE7_Bug



Firefox_Good

Sunday, December 24, 2006

Mini Master of Java Technology

ตั้งใจว่าจะเขียนจาวามานานแต่ไม่มีโอาสซักที พอดีช่วงนี้มีคนชวนทำโปรเจคเกี่ยวกับจาวาก็เลยเริ่มเขียนดู พอเริ่มเขียนไปได้หน่อยก็ได้ข่าวว่ามีโครงการ Mini Master of Java Technology ของลาดกระบังร่วม กับ Sun JAVA Certified Training Center ก็เลยตัดสินใจเรียนจะได้ไม่ต้องมานั่งอ่านเองให้เสียเวลา และเป็นการบังคับตัวเองไปในตัวด้วย

โครงการนี้เปิดสอนที่ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
อาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 (ตอนแรกผมนึกว่าจะเรียนที่ลาดกระบัง แต่เรียนที่นี่ก็สะดวกดีเหมือนกัน มีทหารเฝ้าทางเข้าออกด้วย - -') รุ่นที่ผมเรียนเป็นรุ่นที่สอง ถ้าใครสนใจลองติดต่อสอบถามดูได้ ผมคิดว่ารุ่นที่สามน่าจะเปิดช่วงกลางปี 2007

MMJT2_1

วิชาที่สอนมีทั้งหมด 4 วิชา ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 4 เดือน เรียนเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ มีการสอบและตัดเกรดเหมือนในมหาวิทยาลัย หลังจากจบจะได้ใบ Certificate และ Transcript ด้วย

การเรียนการสอนเริ่มวิชาแรกด้วยพื้นฐานการเขียนโปรแกรมภาษาจาวา ส่วนที่เหลือจะเน้นไปที่ J2EE คนที่เรียนส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานหรือเป็นเจ้าของกิจการของตัวเองอยู่แล้ว ดูแต่ละคนตั้งใจเรียนดี วิชาแรกพึ่งเรียนจบเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่ค่อยยากเท่าไหร่เพราะ 80 เปอร์เซ็นต์มันเหมือนกับ C# (รอดูข้อสอบว่าจะยากหรือเปล่า)

ตอนเรียนผมนั่งข้าง ๆ พี่เจษฏ์ (3D Daily) เห็นพี่เค้าใช้ Mac มันสวยจริง ๆ (อยากได้บ้างจัง)

รูปที่ Flickr

Saturday, November 25, 2006

Canon EOS 400D


ตัดสินในซื้อกล้อง Digital SLR ตัวแรกในชีวิต หลังจากใช้กล้องกระเทยอย่าง Fuji S5000 มานาน จนพังไปแล้ว จะว่าไปแล้วเจ้า S5000 (ตอนหลัง S5500 และ S5600 ออกมาแทนตามลำดับ) ก็ทำงานได้ดีพอสมควร ถ้างบน้อย มีเงินหมื่นเดียว อยากได้กล้องที่ความสามารถใกล้เคียงกับ SLR ผมคิดว่า S5600 ก็ยังเป็นรุ่นที่น่าใช้ที่สุด


Canon EOS 400D เป็น DSLR รุ่นเล็กตัวล่าสุดจากทาง Canon แต่มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเพียบ หลังจากลองเล่นดูทั้งวัน สิ่งที่ผมประทับใจมาก ๆ ก็คือ มันสามารถถ่ายตอนกลางคืนในโหมด ISO 1600 ได้ดีมากไม่มีสีเพี้ยนหรือแตกให้เห็น ทำให้การถ่ายรูปกลางคืนง่ายขึ้นเยอะเพราะแค่แสงไฟฟลูออเรสเซนต์ธรรมดาตามบ้านก็เพียงพอที่จะถ่ายรูปได้ด้วย Shutter Speed เร็วกว่า 1/100 s ขึ้นไป ถือว่าทาง Canon ทำการบ้านข้อนี้ได้ดีมาก ผมให้ไปเลย 10 คะแนนเต็มในส่วนนี

ที่น่าประทับใจก็มี Self Cleaning Sensor Unit และสุดท้ายเรื่องราคา ผมว่ามันก็พอรับได้สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้กล้องทำมาหากิน แต่อยากมีกล้อง DSLR ใช้กับชาวบ้านเขาบ้าง เผื่อว่าจะฟลุ๊กถ่ายรูปดี ๆ กับเขาได้ซักรูปในชีวิต

ส่วนเลนส์เป็นของ Sigma 18-200 mm F3.5-6.3 DC คิดว่าตัวนี้ตัวเดียวพอเลยสำหรับชีวิตการถ่ายรูปทั่ว ๆ ไป


ผมว่าผู้ชายส่วนใหญ่มันก็คือ ๆ กัน คือ มันบ้าคล้าย ๆ กัน เพราะผมเองก็บ้าไอ้ของพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ คอมพิวเตอร์แรง ๆ กล้องถ่ายรูปดี ๆ มันก็แค่นี้แหละชีวิตผู้ชาย


ไว้วันหลังฟลุ๊ก ๆ ผีผลักมือกด shutter ได้รูปสวย ๆ เดี๋ยวจะเอามาโชว์กับเขาบ้าง ตอนนี้ถ่ายมั่ว ๆ บ้า ๆ เล่น ๆ ไปก่อน

Friday, October 27, 2006

Google ใช้ OS อะไร

ผมสงสัยมานานว่าที่ Google นั้นเขาใช้ OS ตัวไหน (จะได้เอามาใช้บ้าง) มาอ่านเจอ blog ที่ topix.net ชื่อ The Secret Source of Google's Power ถึงได้รู้ว่ามันสุดยอดกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก

Google มี OS และ File System ของตัวเองเขาเรียกมันว่า GFS (Google File System) ซึ่งรองรับไฟล์ในระดับ Peta Bytes ส่วน App (ไม่แน่ใจว่าทุกตัวหรือเปล่า) ทำงานอยู่บน RAM (ไม่น่าสงสัยว่าทำไมเวลา Search มันถึงเร็วนัก) Server ก็มีอยู่เป็นแสนตัว !!! Server แต่ละตัวไม่ใช่พวกราคาแพงหูฉี่ HDD ที่ใช้ก็ไม่ได้ต่อ RAID เพราะเน้นถูก ซึ่ง RAID Controller ก็ทำให้ราคาแพงต่อ HDD หลายตัวก็แพงขึ้นไปอีก Mainboard ก็เป็นแบบธรรมดา Server ตัวนึงมี HDD แค่ 1-2 ตัวเท่านั้น

หลักการก็คือ แทนที่จะเอาเงินซื้อเครื่องหรู ๆ ราคา 200,000 - 300,000 บาท ก็เอาไปซื้อเครื่องธรรมดาหนึ่งเครื่องราคา 20,000 - 30,000 บาท ซึ่งประกอบไปได้ HDD, M/B แล้วก็ RAM เท่านั้น ด้วยงบเท่ากันทำให้สามารถซื้อเครื่องแบบนี้ได้ 10 เครื่อง เพราะไม่งั้นป่านนี้ Google คงเจ๊งไปกับค่า Server ไปแล้ว ประเด็นก็คือระบบที่ Google ออกแบบมากกว่า ระบบที่ออกแบบนี้ไม่ได้สนใจความเสถียรของ Computer เท่าไหร่นัก (เหมือนกับที่อื่น ๆ ต้องใช้ Server ระดับเทพ ราคาก็ระดับเทพ) ถ้า Computer เจ๊งก็ถอดมันออกให้ตัวที่เหลือทำงาน (เพราะมีเครื่องมากกว่าตั้งสิบเท่า) ซ่อมเสร็จก็ต่อเข้าไปช่วยเพื่อนทำงาน ซื้อมาใหม่ก็ต่อเข้าไปช่วยเพื่อนทำงาน key word ก็คือ เครื่องเจ๊งได้ (มีเครื่องเยอะซะอย่าง) แต่ระบบเจ๊งไม่ได้ ด้วยประการทั้งหมดนี้ทำให้ Google ต้องใช้เงินลงทุนต่อพื้นที่เก็บข้อมูลต่อ 1 GB อยู่ที่ประมาณ $2 เท่านั้น ซึ่งถือว่าถูกมาก ๆ ไอเดียแบบนี้บรรเจิด แต่ทำยาก

คนสำคัญที่มีส่วนช่วยออกแบบระบบนี้ให้ Google ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Rob Pike มือเซียน Unix ที่เคยอยู่ในทีมออกแบบ Plan 9 จาก Bell Labs อันเลื่องชื่อ

Google มีสิ่งที่น่าทึ่งอยู่หลายอย่าง ไอเดียแต่ละอย่างมันฉีกแนวพอสมควร บางครั้งมันตรงข้ามกับสิ่งที่เรา ๆ คิดด้วยซ้ำ จริง ๆ เราก็ไ่ม่ได้คิดเองหรอกพวกพ่อค้าทั้งหลายเค้าล้างสมองให้เราเชื่อว่าสิ่งที่เขาจะขายนั้่นเป็นสิ่งที่ดี จำเป็นต้องมี ต้องทำ ฯลฯ แล้วก็จ่ายเงินมาซะ

มิน่าถึงไม่มีใครตาม Google ทันซักที

Saturday, September 30, 2006

Google Reader

ไม่ได้เขียน blog มานาน งานที่ต้องทำค่อนข้างเยอะ เมื่อวานลองเข้าไปใช้บริการตัวใหม่ของ Google นั่นก็คือ Google Reader ใช้ดูแล้วน่าประทับใจมาก ตอนนี้เหลืออย่างเดียวที่ผมใช้บริการของอย่างอื่นคือ del.icio.us

ตอนที่ลองก็ตระเวนไปอ่านบล็อกของเพื่อน ๆ พี่ ๆ ไปเจอ blog ของพี่ป๊อก เรื่อง Nuxeo & OSGi ก็เลยเข้าไปดูข้อมูลใน Wiki กับที่ Nuxeo พึ่งรู้ว่า Zope นั้นถ้าระบบใหญ่ขึ้นไปจนถึงข้อมูลระดับ 5 TB จะเริ่มไม่ไหว

Thursday, June 08, 2006

หุ่นยนต์เสริฟเบียร์


ผมเป็นคนที่ชอบเครื่องยนต์กลไก หรือไอ้พวกหุ่นยนต์มาตั้งแต่เด็ก เคยฝันไว้ว่าจะทำหุ่นยนต์ด้วยตัวเองซักตัว ตอนนี้มีความรู้ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ พอสมควร ทางด้านโปรแกรมมิ่งก็พอไปวัดไปวา ยังเหลือ แมคคานิค ที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง คงต้องเติมเต็มอีกพอสมควร

วันนี้เข้าไปเจอรูปนี้ที่ engadget ท่ารินเบียร์ของหุ่นตัวนี้มันเจ๋งจริง ๆ

Audacity


วันนี้ต้องการตัดต่อเพลง MP3 เพื่อเอาไปทำเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ก็เลยถามน้องเกิ้ลดู ได้คำตอบว่า Audacity ก็เลยลองดาวน์โหลดมาเล่นดู ใช้ได้เลยทีเดียว ฟีเจอร์ที่มีถือว่าตอบสนองความต้องการได้หมด โอเคผ่าน ถือเป็น โปรแกรมโอเพนซอร์สที่ประทับใจอีกตัวนึง

ถ้าโลกนี้ไม่มีโอเพนซอร์สกับอินเตอร์เน็ตผมจะทำยังไงดีเนี่ย