Wednesday, October 26, 2005

วีธีขยายพื้นที่ Hotmail จาก 2 MB ไปเป็น 250 MB

ใช้ Hotmail ได้พื้นที่แค่ 2 MB แล้วอึดอัด ชาวบ้านเขาได้เป็น GB กันแล้ว ทั้ง Yahoo และ Gmail ก็เลยหาวิธีเพิ่ม Size ของ Hotmail อย่างน้อยได้ 250 MB ก็ยังพอทน
อันดับแรกเข้าไปที่ Options>persional>My Profile
ให้เปลี่ยน Home location>Country/region เป็น United States
แล้วเลือกรัฐ เช่น ผมเลือก Georgia ใส่รหัสไปรณีย์ 31150 (ของ Atlanta)
คลิ๊ก Save แล้ว Continue
เข้าไปเช็คใน Language ให้แน่ใจว่าเป็น English
แล้ว Copy Link >> http://by17fd.bay17.hotmail.msn.com/cgi-bin/Accountclose << นี้ไปวางบน Address ของ Browser ตัวที่เปิด Hotmail อยู่แล้วกด Enter มันจะถามว่าต้องการปิด Account หรือเปล่า ก็ตอบตกลงไปเลย ไม่ต้องกลัวข้อมูลหาย เสร็จแล้วก็ไปหน้า Login ของ Hotmail ใหม่อีกรอบ แล้วทำการ login ใหม่ ก็จะมีคำถามว่าต้องการ re-activate account หรือเปล่า แล้ว Click อีกสองสามทีก็เสร็จ เข้าไปคราวนี้จะได้พื้นที่ 25 MB แล้วอีกสองสามอาทิตย์พื้นที่ก็จะเพิ่มเป็น 250 MB เอง

Monday, October 24, 2005

สภาพอากาศทั่วโลก ด้วย GoogleEarth

พยายามหาภาพถ่ายดาวเทียม สภาพอากาศ แบบ Real Time ของประเทศไทย ที่เจอก็มีสองสามอันที่ใช้ได้ อันแรกเป็นภาพล่าสุดจาก NECTEC เข้าไปดูได้ที่
http://tiwrm.hpcc.nectec.or.th/Tracking/Now/latest.jpg ซึ่งภาพจะมีการ Update ทุก ๆ ชั่วโมง แต่จะ Delay ไปประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง


อันที่สองถ้าอยากดูภาพเคลื่อนไหวต้องเข้าไปดูที่ Satellite Weather Image Archives แล้วก็เลือกเอาว่าจะ Play ย้อนหลังไปกี่วัน ถ้าเลือกย้อนหลังไปนานต้องรอโหลดนานหน่อย

อันสุดท้ายต้องลง Google Earth ก่อน แล้วไป Download สภาพอากาศ ซึ่งเขาทำ Overlay ไปดึงสภาพอากาศทั่วโลกมา แต่ตอนโหลดใช้เวลาบ้างพอสมควร




วันนี้แถวบ้านฝนตกหนักเอาการ แต่ก็ดีกว่าที่อเมริกาเยอะ ปีนี้สงสัยจะสาหัสเพราะ โดนเข้าไปสามดอกติด ๆ กันเลย



ที่ Thai Google Earth มีอะไรดี ๆ เยอะเหมือนกัน ไปดูกันเอาเอง

Tuesday, October 18, 2005

มาเขียน AJAX กันดีกว่า # 2 (Ajax.NET Library)

ต่อจากตอนที่แล้ว "มาเขียน AJAX กันดีกว่า # 1" ใครยังไม่อ่านไปอ่านมาก่อนก็ดี

มาว่ากันต่อกับ AJAX โดยวันนี้จะอธิบายการใช้งาน Ajax.NET Library ซึ่งสามารถ Download Ajax.dll ได้ที่ Ajax.NET - A free library for the Microsoft .NET Framework (Version ปัจจุบันคือ 5.7.22.2)

อันดับแรกให้ทำการสร้างโปรเจคใหม่ เป็น ASP.NET Web Application ในกลุ่ม Visual C# Projects ในตัวอย่างนี้ผมตั้ง ชื่อโปรเจคว่า AjaxDotNet






เสร็จแล้วไป Copy ไฟล์ Ajax.dll ที่เรา Download มา ไปเก็บไว้ใน Sub Directory bin ของ Project ของเรา แล้วทำการ Add Reference โดย Click ขวาที่ References แล้วเลือก Add Reference แล้วก็ไป Browse หาไฟล์ Ajax.dll



ใน Web.config ให้เพิ่ม Tag httpHandlers ตามนี้


ส่วนอื่น ๆ ให้คงไว้เหมือนเดิมนะครับ

ส่วนฝั่ง WebForm1.aspx.cs ให้เพิ่ม Code เข้าไปดังนี้

private void Page_Load(object sender, System.EventArgs e)
{
Ajax.Utility.RegisterTypeForAjax(typeof(WebForm1));
}

ตรง typeof(WebForm1) ให้ใส่ชื่อตามชื่อ Class ที่เราตั้ง

สมมุติว่าต้องการเขียน Function (Method) ในการบวกค่าให้ เพิ่ม Code เข้าไปอย่างนี้
[Ajax.AjaxMethod()]
public int ServerSideAdd(int firstNumber, int secondNumber)
{
return firstNumber + secondNumber;
}

Function นี้ทำงานง่าย ๆ คือ รับค่า Integer สองตัวเข้ามาบวกกันแล้ว Return กลับไป

คราวนี้เราก็มาเรียกใช้ Method ที่ฝั่ง Client กัน แต่ก่อนที่เราจะเรียกใช้ Function ที่เราเขียนได้นั้นต้อง Add JavaScript เข้าไปสองไฟล์นั่นก็คือ ajax/common.ashx และ ajax/AjaxDotNet.WebForm1,AjaxDotNet.ashx (ในตัวอย่างคือ บรรทัดที่ 11 และ 12)




Click ที่รูปเพื่อดูรูปใหญ่


ผมเขียน Function JavaScript ไว้สองอันหลัก ๆ อันแรก คือ test1() ตัวนี้จะส่งตัวเลข 10 กับ 2 ไปบวกกันที่ฝั่ง Server แล้วนำค่าที่ Return มา Show เป็น Alert Message
ส่วน test2() ให้เอาค่าจาก TextBox1 กับ TextBox2 ไปบวกกัน แล้ว Return โดยการเรียก Function ServerSideAdd_CallBack() พร้อมส่งค่าผ่านตัวแปรที่ชื่อ response แล้วนำค่าที่ได้มาเติมเข้าไปใน TextBox3




และผลที่ได้ก็ออกมาแบบนี้ครับ




ถ้า Click ปุ่ม Test 1 จะไปเรียก Function test1() จะส่งค่า 10 กับ 2 ไปบวกันที่ Server แล้ว Alert Message Box แต่ถ้า Click ปุ่ม Excute จะไปเรียก test2() ก็จะส่งค่าจาก TextBox1 กับ TextBox2 ไปบวกกันที่ Server แล้วเอาผลลัพท์มาใส่ใน TextBox3 ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว

ตอนที่เรียกใช้ Function ที่ Server นั้นจะเห็นว่าง่ายมากดังตัวอย่างคือ
x = WebForm1.ServerSideAdd(10,2);

ง่ายกว่านี้มีอีกไหม?
ตอนนี้ยังครับ แต่ผมว่าอย่าให้ง่ายกว่านี้เลย เดี๋ยวโปรแกรมเมอร์ตกงาน

ของกิ๊กก๊อกแค่นี้ทำไมต้องส่งไปทำที่ Server ให้ JavaScript ทำก็ได้
อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างให้เข้าใจ Concept นะครับ เพราะปกติแล้วการคำนวณอะไรที่ไม่ซับซ้อนมากนัก JavaScript ก็ทำได้สบายอยู่แล้ว ถ้าใครอยากดูอะไรที่ยาก ๆ เอาไว้ตอนต่อไปครับ ถ้าผมไม่ขี้เกียจซะก่อน

ป.ล. ใครรู้วีธี Post HTML tag ลงใน Blogger ช่วยชี้แนะด้วยครับ มันไม่ยอมให้ผม Post HTML tag

Wednesday, October 12, 2005

มาเขียน AJAX กันดีกว่า # 1

AJAX คืออะไร?
AJAX ย่อมาจาก Asynchronous JavaScript and XML เป็นวิธีการเขียนที่ใช้ JavaScript ร่วมกับ XML เพื่อสื่อสารกับ Server

ทำไมต้องใช้ AJAX?
ถ้าใครเคยเขียน Web Application ที่ซับซ้อนหน่อยโดยเฉพาะงานที่ต้องมีการส่งค่าไปกลับระหวาง Server และ Client บ่อย ๆ จะเห็นว่าเราจะต้องให้ Page นั้น Reload ทุก ๆ ครั้งที่ต้องการติดต่อไปยัง Server แล้ว Server ก็จะส่งข้อมูลกลับมาใหม่ทั้งหมด ซึ่งบางครั้งข้อมูลที่ต้องการจาก Server มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ต้อง Load ข้อมูลมาใหม่ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นพวก Header หรือ Footer ซึ่งปกติจะเป็นสิ่งที่ Fix ไว้อยู่แล้ว แต่การ Reload แต่ละครั้งก็ต้องส่งข้อมูลพวกนี้มาใหม่ทุก ๆ รอบ เป็นผลให้ช้า และเปลือง Bandwidth ของ Network เป็นอย่างมาก
AJAX นั้นเข้ามาช่วยแก้จุดอ่อนตรงนี้ หลักการทำงานของ AJAX คือ จะมีการส่งและรับข้อมูลเฉพาะส่วนที่จำเป็นหรือต้องการเท่านั้น โดยใช้ JavaScript เป็นตัวกลางในการติดต่อกลับไปยัง Server ข้อมูลที่รับส่งนั้น จะอยู่ในรูปแบบของ XML (จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องเป็น XML เสมอไป ขึ้นอยู่กับเรามากกว่า) ด้วยเหตุนี้ระบบจะทำงานเร็วขึ้น พร้อมทั้งลดปริมาณของข้อมูลที่วิ่งในเครือข่าย ช่วยลด Bandwidth ของ Network ไปในตัวอีกด้วย



ตอนนี้มีใครใช้ AJAX อยู่บ้าง ?
Google เป็นผู้บุกเบิกและพัฒนา AJAX ซึ่งจะเห็นได้จาก Product เป็นจำนวนมากของ Google ที่ใช้ AJAX เช่น OrKut, Gmail, Google Groups, Google Suggess และ Google Maps เป็นต้น ส่วนค่ายอื่น ๆ นั้นเข้าใจว่าจะค่อย ๆ ทยอยตามมา เช่น Microsoft ก็อยู่ในช่วงทดลอง Hotmail ตัวใหม่ซึ่งตอนนี้ใช้ชื่อว่า Kahuna และ สามารถดู Review ได้ที่นี่

AJAX กับ ASP.NET
ในที่นี้ผมจะอธิบายการใช้ AJAX ร่วมกับ ASP.NET (C#) ซึ่งเป็นเครื่องมือตัวนึงที่ใช้ทำ Web Application ถ้าใครจะใช้ภาษาอื่นก็ตามใจนะครับ หรือจะใช้ HTML ดิบ ๆ เลยก็ได้ ขอให้ Page นั้น Return เป็น String ไปก็พอแล้ว

มาเริ่มกันเลยดีกว่า
อันดับแรก ให้ Add Web Form เข้าไปใน Project ตั้งชื่อว่า WebForm1.aspx แล้วเพิ่ม Code ตามนี้





(Click เพื่อดูรูปใหญ่)



ใน Header จะเห็นว่ามีการประกาศไฟล์ JavaScript ที่ชื่อ request.js เข้าไปด้วย ซึ่งภายในไฟล์ request.js มีรายละเอียดดังนี้

/--------------------------------------------------------------------------------------

/* XmlHttpRequest library */
/* Version 0.9.2.2, 6 May 2005, Adamv.com */
function _getXmlHttp()
{
try { return new XMLHttpRequest();}
catch (e2) {return null; }
}

function CachedResponse(response) {
this.readyState = ReadyState.Complete
this.status = HttpStatus.OK
this.responseText = response
}

ReadyState = {
Uninitialized: 0,
Loading: 1,
Loaded:2,
Interactive:3,
Complete: 4
}

HttpStatus = {
OK: 200,
NotFound: 404
}

function Request_from_cache(url, f_change) {
var result = this._cache[url];

if (result != null) {
var response = new CachedResponse(result)
f_change(response)
return true
}
else
return false
}

function Request_cached_get(url, f_change) {
if (!this.FromCache(url, f_change)){
var request = this
this.Get(url,
/* Cache results if request completed */
function(x){
if ((x.readyState==ReadyState.Complete)&&(x.status==HttpStatus.OK))
{request._cache[url]=x.responseText}
f_change(x)
},
"GET")
}
}

function Request_get(url, f_change, method) {
if (!this._get) return;

if (method == null) method="GET"
if (this._get.readyState != ReadyState.Uninitialized)
this._get.abort()

this._get.open(method, url, true);

if (f_change != null) {
var _get = this._get;
this._get.onreadystatechange = function(){f_change(_get);}
}
this._get.send(null);
}

function Request_get_no_cache(url, f_change, method){
var sep = (-1 < newurl =" url" __="" get =" Request_get" getnocache =" Request_get_no_cache" cachedget =" Request_cached_get" fromcache =" Request_from_cache" use =" function(){return" cancel =" function(){if" _cache =" new" _get =" _getXmlHttp();" _get ="=">

/--------------------------------------------------------------------------------------


ถ้าเราทำการ Run ไฟล์ WebForm1.aspx เฉย ๆ จะได้ Output เป็นแบบนี้



ถ้ากดปุ่ม Get Hello World ก็จะเป็นการเรียกฟังก์ชัน GetHello ด้วย event onclick="GetHello();" ซึ่งฟังก์ชั่น GetHello นี้จะทำงานอยู่ที่ฝั่ง Client แล้วไปเรียก Page ที่ชื่อ GetHelloWorld.aspx ซึ่งใน Page นี้มีรายละเอียดดังนี้
/--------------------------------------------------------------------------------------




/--------------------------------------------------------------------------------------

ตรง "=result" จะ Return ค่าของตัวแปรซึ่ง ประกาศไว้ในฝั่ง Codebehide ที่ชื่อ GetHelloWorld.aspx.cs ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

/--------------------------------------------------------------------------------------
using System;
using System.Collections;
using System.ComponentModel;
using System.Data;
using System.Drawing;
using System.Web;
using System.Web.SessionState;
using System.Web.UI;
using System.Web.UI.WebControls;
using System.Web.UI.HtmlControls;

namespace TestAJAX
{
public class GetHelloWorld : System.Web.UI.Page
{
protected string result = string.Empty;
private void Page_Load(object sender, System.EventArgs e)
{
result = "Hello World !!!";
}


#region Web Form Designer generated code
//..... ตรงนี้ไม่ต้องไปแก้ไข และไม่ต้องสนใจ เพราะมัน Auto Generate มาให้อยู่แล้ว
#endregion
}
}
/--------------------------------------------------------------------------------------

ซึ่งไฟล์นี้ไม่ทำอะไรมาก แค่ return "Hello World !!!" กลับไปเท่านั้น ถ้าคุณเรียก Page GetHelloWorld.aspx แล้ว View Source ดูก็จะเห็นแค่

Hello World !!!

หลังจาก Click ปุ่ม Get Hello World จะได้ผลดังนี้



มันทำงานยังไง
หลักการทำงานของมันก็คือ เมื่อเรา Load Page ที่ชื่อ WebForm1.aspx มา และ Click ที่ปุ่ม Get Hello World ฟังก์ชั้น JavaScript ที่ชื่อ GetHello() ก็จะไปเรียกเพจที่ชื่อ GetHelloWorld.aspx แล้วได้ String เป็น Output มา จากนั้นก็มา Set ค่าของ Textbox ให้เปลี่ยนไปตาม Output ที่ได้มา จะเห็นว่า Page WebForm1.aspx นั้นไม่ต้อง Reload ใหม่ เหมือนการเขียนทั่ว ๆ ไป

ทำไมมันยากจัง ง่าย ๆ กว่านี้มีหรือเปล่า
คำตอบคือ มีครับ ถ้าคุณเคยเคยเขียน Web Application แบบธรรมดา จะเห็นว่าการเขียนแบบนี้ต้องเพิ่มภาระให้เราเป็นอย่างมาก มิหนำซ้ำการเขียน Code กับ JavaScript นั้นไม่สามารถ Debug ได้ง่าย ๆ อีกด้วย แต่ถ้าคุณขี้เกียจเขียนทุกอย่างด้วยตัวเอง คุณสามารถใช้ AJAX Libary for The Microsoft .NET Framework ซึ่งเป็นของฟรี สามารถ Download ได้ที่ Ajax.NET มา Add เข้าไปในโปรเจคของคุณ แล้วค่อยเรียกใช้ ก็ได้เหมือนกัน

การใช้ Ajax.NET Libary รอติดตามตอนต่อไปครับ วันนี้เพียงแต่ต้องการให้เข้าใจ Concept ว่า มันทำงานยังไงเพียงแค่นั้น


อ้างอิง
AJAX Links at OpenAJAX
AJAX at TheCodeProject

Tuesday, October 11, 2005

DHTML & JavaScript เจ๋ง ๆ


Dynamic Web Coding เว็บนี้มี ตัวอย่าง พร้อม Source Code ของ DHTML และ JavaScript เด็ด ๆ เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น การ ทำ Slide-Out Menus, Pupup Image, การเล่นกับ Layer, และ การทำงานกับ IFrame

วิธีการต่าง ๆ ที่เว็บทั่ว ๆ ไปเขาใช้กันส่วนใหญ่มีให้ดูหมดเลย

Monday, October 10, 2005

The Battle for Wesnoth 1.0 เกมบน Linux


ลอง Download เกม Battle for Wesnoth 1.0 มาเล่นดู ซึ่งเป็นเกมที่พัฒนาแบบ Opensource ภายใต้ลิขสิทธิ์แบบ GPL นับว่าเป็นเกมที่ดีใช้ได้ ถึงแม้จะยังห่างจากเกมแบบ Proprietary พอสมควร แต่นี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับเกมที่จะเล่นบน Linux อีกตัว

มีเกมอื่น ๆ ที่เล่นบน Linux ได้อีกเยอะเหมือนกัน ลองเข้าไปดูเพิ่มเติมที่ Linux Gamers

Sunday, October 09, 2005

Google Earth เปิดโลกการเรียนรู้

ผมคงไม่มาพูดแนะนำ Google Earth หรอกครับเพราะ มันเป็น Talk of the World ไปแล้ว สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมคงไม่ใช่แค่หลังคาบ้านของตัวเอง, บริเวณตึก World Trade Center (ตอนนี้รู้สึกเขาจะเรียกว่า Ground Zero ไปแล้ว), สนามบิน JFK, LA, ฮ่องกง, ญี่ปุ่น, ออสเตรเรีย ฯลฯ

และแน่นอนเมืองไทยผมดูเกือบทุกซอกทุกมุมทำให้เข้าใจภูมิศาสตร์ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีกเป็นกอง ไม่เหมือนตอนที่เรียนสมัยมัธยม มันนึกภาพไม่ออก ถ้าสามารถบรรจุ Google Earth ลงไปในวิชา โลกของเรา, ประเทศของเรา หรือวิชาภูมิศาสตร์ต่าง ๆ ผมว่าสุดยอดเลย



รูปแรกเป็นรูปภูกระดึงจะเห็นว่ามันเป็นรูปหัวใจเหมือนที่เขาว่าจริง ๆ หลาย ๆ คนบอกผมว่าได้พบคนรักที่ภูกระดึง แต่บางคนก็บอกว่าขึ้นไปเลิกกันก็บนภูกระดึงนี่แหละ ไม่รู้มันเกี่ยวกับรูปหัวใจนี้หรือเปล่า


แต่ที่น่าสนใจก็คือเมื่อผมกดปุ่ม Tilt Down ลงปรากฏว่ามันเห็นส่วนสูงต่ำของแผ่นดินด้วย นั่นหมายความว่า Google มันเก็บความสูงไว้ด้วยหรือนี่ จะเห็นว่ารอบ ๆ ภูกระดึงนั้นเป็นหน้าผาทั้งหมด แต่ส่วนบนจะแบนเป็นพื้นราบ ทำให้ภูกระดึงเป็นภูเขาที่ไม่มียอด เหมือนพื้นราบมันโดนยกขึ้นไปเฉย ๆ งั้นแหละ (อันนี้มีเหตุผลอธิบาย จำได้ตั้งแต่ตอนเรียน ม. ๓ อาจารย์ท่านเคยอธิบายเหตุผลไว้แต่ไม่พูดดีกว่าเดี๋ยวยาว)


ยิ่งพอปรับ Tilt Down จดสุดจะเห็นว่าภูกระดึงนั้น มันสูงขึ้นไปแล้วจู่ ๆ มันก็เรียบ อยู่ด้านบน ถ้าใครเคยขึ้นภูกระดึง หลังจากผ่าน ซำแฮก และซำต่าง ๆ ไปแล้ว พอขึ้นไปถึงยอด จะตะลึง ว่าเราปีนเขาขึ้นมาเกือบทั้งวัน ขึ้นมาเรื่อย ๆ พอขึ้นมา จู่ ๆ ภูเขาก็หายไปกลายเป็นพื้นราบเฉยเลย ตรงที่ขึ้นไปถึงนั้นเขาเรียกว่า หลังแป และพอมองลงมาข้างล่าง โอ้โห.... สุดบรรยาย วิวข้างล่างสวยมาก ยิ่งขึ้นไปปลายฝน ต้นหนาว จะเห็นละอองเมฆ ลอยอยู่ต่ำกว่าเท้าเราใกล้แค่เอื้อม แล้วลมก็พัดเมฆหมอกมากระทบหน้าผาแล้วฟุ้งมากระทบหน้าเรา ไม่อยากบรรยาย สุดยอดจริง ๆ ปีนขึ้นมาทั้งวัน หายเหนื่อยเลย


บ้านเพื่อนผมอยู่อำเภอภูเวียง ผมพึ่งรู้ว่าที่จริงแล้ว อำเภอนี้มันตั้งอยู่กลางภูเขา ซึ่งร้อมรอบอำเภอ มีทางเข้าออกอำเภอได้ทางเดียว ซึ่งเป็นทางเดียวกับทางที่น้ำไหลออกจากภูเวียง นอกนั้นเข้าออกไม่ได้เพราะภูเขาล้อมไว้หมด แต่ยังมีอีกอันที่สงสัยคือ ทำไมไดโนเสาร์มันถึงมาอยู่ข้างในนี้ด้วย และจากรูปนี้ก็ทำให้เห็จความฉลาดของคนสมัยก่อน เพราะตอนนั้นเขาไม่มีเครื่องบิน หรือดาวเทียมดู เขาก็ยังรู้ว่าภูเขามันเป็นวงล้อมอยู่ จึงตั้งชื่อว่า ภูเวียง

แต่ผมก็มีอีกความคิดหนึ่งก็คือถ้าเป็นไปได้ ผมจะอพยพคนออกจากข้างในให้หมด เพราะอันตรายมากหากฝนตกหนักติดต่อกัน เพราะจะทำให้น้ำระบายจากข้างในไม่ทัน เดี่ยวก็เดือดร้อนกันใหญ่ และพออพยพคนออกแล้วผมจะสร้างเขื่อนเล็ก ๆ ปิดทางน้ำออก ก็จะได้อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ไว้สำหรับภาคอีสานไว้ใช้เวลาหน้าแล้งอีกเป็นจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว และจะเป็นแหล่งน้ำระดับที่สูง ทำให้สามารถจ่ายไปได้ไกล ๆ อีกด้วย


ส่วนอันนี้เขื่อนอุบลรัตน์ ทำให้เข้าใจว่าทำไมเขามาสร้างเขื่อนตรงนี้ เพราะมันมีแนวภูเขาที่เป็นเส้น ๆ กั้นน้ำไว้ให้นี้เอง ไอ้เส้นภูเขาเล็ก ๆ นี้ผมลงตามไปดูมันข้ามน้ำโขงไปประเทศลาว และลงมาข้างล่าง ผ่านภูเขียว และมาจรดที่เขาใหญ่ด้านล่างนี้เอง ไอ้เส้นนี้มันแปลกมาก


ส่วนอันนี้เป็นบริเวณ พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ของ หลวงปู่ศรี มหาวีโร ซึ่งใช้เก็บพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุของพระอรหันตสาวก ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ พระสิวลี และองค์อื่น ๆ อีกเพียบ ซึ่งตั้งอยู่ที่ อ. หนองพอก จ. ร้อยเอ็ด ใช้เงินสร้างไปหลายพันล้านบาทแล้ว ข้างในสวยมาก นึกว่าขึ้นไปบนสวรรค์ ใครไม่เคยไป ลองหาโอกาสไปซักครั้งในชีวิต สาเหตุที่มาสร้างตรงนี้เพราะสมัยก่อน หลวงปู่ศรี ท่านจาริก มาธุดงค์อยู่แถวนี้ ซึ่งเป็นป่าเป็นเขา จนสุดท้ายได้สร้างวัดขึ้นที่นี่ และสร้างรั้วร้อมภูเขาทั้งลูก ดังที่เห็น สุดยอดจริง ๆ ไม่งั้นป่านนี้ชาวบ้านคงรุกล้ำถางเข้าไปจนป่าไม้ไม่เหลือแล้วมั้ง ทำให้พระรุ่นลูก รุ่นหลาน ยังมีป่าพอเหลือให้หลีกเร้นจากสังคม เข้าไปภาวนาอยู่ในป่าหาความสงบ หาทางพ้นทุกข์ ตามรอยพระบรมศาสดา ซึ่งป่าแถบนี้ยังสมบูรณ์อยู่มาก


ส่วนภูเขาลูกตรงกันข้ามชื่อว่า ภูจ้อก้อ ของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ท่านมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่เป็นเวลานานจนท่านมรณภาพ สุดท้ายหลังเผาศพท่าน พบว่ากระดูกของท่านก็กลายเป็นธาตุ เหมือนกันกับพระอรหันต์ทั้งหลาย นี่เป็นความอัศจรรย์ของดินแดนแถบนี้


ส่วนรูปสุดท้ายนี้จะเห็นว่าป่าไม้เมืองไทยนั้นเหลือน้อยจริง ๆ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ที่เห็นยังเขียว ๆ อยู่ ก็มีเพียง เขาใหญ่ เขาเขียว ภูเขียว แนวชายแดนภาคตะวันตก ภาคเหนือตามภูเขา และเขตแถว ๆ ภูพานอีกนิดหน่อย เท่านั้นเอง

และถ้าดูรูปนี้จะเห็นว่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเดินธุดงค์สมบุกสมบันจริง ๆ คือผมเข้าใจว่าทั้งหมดที่เห็นในรูปนี้ท่านเดินด้วยเท้าเปล่ามาหมดแล้ว ซึ่งสมัยเมื่อประมาณร้อยปีที่แล้วส่วนใหญ่ยังเป็นป่าเกือบทั้งหมด ท่านเดินจากอุบล ข้ามไปฝั่งลาวขึ้นไปทางเหนือ เข้าไปเชียงใหม่ ข้ามไปพม่า เข้ามาอุดรธานี หนองคาย สกลนคร แล้วลงมาอุบล แล้วเดินเข้ากรุงเทพฯ แล้วก็ไปเขาใหญ่ นครนายก ขึ้นไปเชียงใหม่ ฯลฯ แค่เรื่องเดินธุดงค์ ก็ยังขนาดนี้แล้ว ยิ่งเรื่องอื่น ๆ ยิ่งน่านับถือท่านมาก ๆ

จะเห็น่า Google Earth นั้นมีประโยชน์มาก ๆ ในหลาย ๆ เรื่อง ตั้งแต่ความรู้ทั่วไป โลกของเรา ประเทศของเรา แม้กระทั่งวางแผนว่าจะไปนอนวัดป่าภาวนาซักอาทิตย์ ก็ยังสามารถตรวจสอบได้ล่วงหน้าว่า ป่าแค่ไหน มันป่าสมที่ใจอยากไปหรือเปล่า

ลองเล่น Ubuntu 5.10

ลอง Download Linux Ubuntu 5.10 มาลงดูเมื่อวาน ผมว่ามันง่ายดีแฮะ ผมว่าตัวนี้ดูเข้าที่ที่สุดเพราะตัวเล็ก ไม่เสียเวลา Download มาก สำหรับใช้งานพื่นฐานทั่ว ๆ แล้วไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมใช้ได้เลย

Saturday, October 08, 2005

Mambo eZine จัดหน้าแรกของเว็บให้ดูดี

Mambo eZine คือ Tool สำหรับ Mambo ที่ใช้จัดการหน้าแรกของเว็บให้สวย และง่ายในการจัดการ ที่ www.carefor.org เขาเขียนไว้ดีแล้ว ไปอ่านเอาเอง

ClockLink นาฬิกาสวย ๆ ประดับเว็บ



เห็นสวยดีครับก็เลยเอามาฝาก เผื่อใครสนใจ มีแบบอื่น ๆ อีกเพียบเลยนะครับ เข้าไปดูได้ที่ www.clocklink.com ครับ

Thursday, October 06, 2005

สงครามระหว่าง Flash Memory กับ Hard Disk Drive

สมัยก่อน Flash Memory กับ Hard Drive นั้นต่างมีอาณาจักรของตัวเอง ที่แยกจากอีกฝ่ายอย่างชัดเจน เพราะต่างฝ่ายต่างมีข้อดีข้อเสีย ฝ่าย Hard Drive นั้น มีขนาดใหญ่ ใช้พลังงานเยอะ มีความจุสูง ราคาต่อความจุต่ำ ไม่มีข้อจำกัดในการเขียนซ้ำ มีปัญหากับการสั่นสะเทือน ส่วนทาง Flash Memory นั้น มีขนาดเล็ก ความจุน้อย ราคาต่อความจุสูง มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนครั้งในการเขียนซ้ำ ไม่มีปัญหากับการสั่นสะเทือน แต่เมื่อเวลาผ่านไปต่างฝ่ายต่างก็พัฒนาผลิตภัณฑ์ของตน ทางฝั่ง HDD ก็พยายามทำให้ขนาดเล็กลง ใช้พลังงานน้อยลง เพิ่มความทนทาน ส่วนฝั่ง Flash ก็เพิ่มความจุ เพิ่มความเร็วในการเขียน การอ่าน และเพิ่มจำนวนครั้งในการเขียนซ้ำ เป็นภาพที่ทั้งสองฝ่ายกำลังวิ่งเข้าชนกัน

จุดแรกที่สองเทคโนโลยีนี้วิ่งเข้ามาประสานงากันก็คือ Compact Flash ซึ่งถือว่าฝ่าย HDD ขนาด 1 นิ้ว เป็นฝ่ายรุกเข้าไป เพราะ Compact Flash นั้นเป็นของ Flash ตั้งแต่แรก (ชื่อมันก็บอกอยู่แล้ว) ถึงแม้ผลจะไม่ออกมาในลักษณะแพ้ชนะแบบตายกันไปข้างนึง แต่ก็ดูเหมือนว่าฝั่ง HDD มีภาษีดีกว่า สิ่งที่ทำให้ HDD ได้เปรียบมาก ๆ ก็คือ ราคา เพราะในความจุที่เท่ากันนั้น ราคาของ HDD จะราคาถูกกว่าอยู่ประมาณ 3 - 5 เท่าตัว

แต่ถ้าเราถอยห่างออกจากแนวรบ ก็จะเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายนั้นยังมีอาณาจักรส่วนตัวที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ และมีความเข้มแข็ง ซึ่งอีกฝ่ายยังไม่สามารถเข้าไปแตะต้องได้ ซึ่งทาง HDD ก็จะเป็น HDD สำหรับเครื่อ Server, PC, Notebook เป็นต้น (ถ้าคุณคิดจะเอา Flash ไปทำ Database Server คงต้องจ่ายเงินหลายล้าน) ส่วนฝั่ง Flash ก็ได้แก่อุปกรณ์ที่เล็กมาก ๆ เช่น SD, XD, Memory Stick เป็นต้น จะเห็นว่า ถ้ามองดูภาพใหญ่แล้ว ส่วนที่เป็นแนวรบนั้นถือว่าเล็กมาก แต่มันยังไม่หยุดแค่นั้น ฝั่ง HDD ดูเหมือนจะได้ใจ จึงขยายแนวรบเข้าไปอีกชั้นโดยออกผลิตภัณฑ์ HDD ขนาด 0.85 นิ้ว แต่การรุกครั้งนี้ไม่หมูเหมือนคราวแรกเสียแล้ว เพราะขนาดที่เล็กอย่างนั้น ต้นทุนที่ใช้ในการผลิตนั้นสูงขึ้นมาก ทำให้ราคาไม่ต่างกันกับ Flash และเมื่อราคาเท่ากัน ความจุเท่ากัน ลูกค้าก็ต้องเลือก Flash เป็นธรรมดา

วันนี้ดูเหมือนว่า Flash จะไม่ยอมถูกเป็นฝ่ายรุกอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะ Chang Gyu Hwang ซึ่งเป็น CEO ของ Samsung's semi-conductor ผู้ผลิต Flash Memory อันดับหนึ่งของโลก ออกมาประกาศว่า Flash นั้นจะสามารถทะลุกำแพง 100 GB ได้ภายใน 2 - 3 ปี และเมื่อถึงจุดนั้น Flash ก็จะสามารถเข้าไปอยู่ใน PC หรือ Notebook ได้อย่างสบาย Hwang นั้นถึงกับพูดว่า จุดจบของ HDD นั้นใกล้มาถึงแล้ว (อะไรจะขู่กันขนาดนั้น นี่ไม่รู้ว่าขู่ Samsung HDD ของตัวเองด้วยหรือเปล่า)

ส่วน Bill Watkins ซึ่ง CEO ของ Seagate ผู้ผลิต HDD อันดับหนึ่งของโลก (เช่นกัน) ได้ออกมาให้ความเห็นว่า เขายอมรับว่า Flash Memory นั้นกำลังบูม แต่ไม่คิดว่า HDD จะถึงจุดจบในเร็ว ๆ นี้ ทั้ง Flash Memory และ HDD นั้น คงจะอยู่ร่วมกันไปอีกนาน อุปกรณ์ Flash Memory นั้น เหมาะสำหรับอะไรที่เล็ก ๆ ไม่ต้องการความเร็ว และต้องการใช้พลังงานให้น้อยที่สุด Flash Memory นั้นไม่สามารถเข้าไปแตะต้องในงานที่ต้องใช้ความจุสูง ๆ และต้องการความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลมาก ๆ เช่น งานพวก Streaming-Video และในขณะนี้ก็กำลังขยายตลาดไปในส่วนของรถยนต์ โดย HDD นั้นจะเป็นแหล่งเก็บข้อมูลของรถ ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูล Audio, Video ซึ่งปัจจุบันอยู่ในรูปของ DVD, CD ข้อมูลแผนที่สำหรับใช้ร่วมกับ GPS หรือแม้กระทั่งบันทึกข้อมูลของเครื่องยนต์ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของรถว่าการทำงานเป็นไงบ้าง ซึ่งจะช่วยในการดูแลรักษาและซ่อมบำรุงรถได้เป็นอย่างดี

ส่วนผมไม่มีใครมาสัมภาษณ์ แต่ขอออกความเห็นหน่อย ที่ Hwang บอกว่า Flash จะมีความจุ 100 GB ภายใน 2 - 3 ปี ป่านนั้น HDD เขาไปถึงกาแล็กซี่ไหนกันแล้ว และถ้าออกมาแล้วราคาจะเท่าไหร่ ถ้าแพงคนเขาก็ไม่ซื้ออยู่ดี อย่าลืมว่าผู้บริโภคนั้นเป็นประเภท กูเอาถูกไว้ก่อน ถ้าราคาเท่ากันค่อยมาดูอย่างอื่นทีหลัง และก็มีตลาดอีกเป็นจำนวนมากที่ HDD เขาได้เปรียบ เช่นพวกเครื่อเล่นเกม เครื่องเล่น DVD เครื่อถ่ายวีดีโอ โทรทัศน์ เครื่องเสียง เครื่องมือวัดในแล็ป เครื่องมือแพทย์ต่าง ๆ เป็นต้น เพราะของเหล่านี้ ในอนาคตจะสามารถเชื่อต่อเข้ากับระบบ Internet ทั้งหมด และจะมีการ Load ข้อมูลจากผู้ให้บริการต่าง ๆ มาใช้ มาฟัง มาดู หรือมีการบันทึกค่า ต่าง ๆ ลงเครื่องแล้วส่งข้อมูลไปยัง Server ที่สำคัญของพวกนี้ก็ไม่ซีเรียสเรื่องขนาดและพลังงานมากนัก

ส่วนทาง Flash นั้นก็มีจุดแข็งมาก ๆ เรื่องขนาดที่เล็กแต่ความจุก็เพิ่มไปเรื่อย ๆ ยกตัวอย่างพวก โทรศัทพ์ หรือ Pocket PC นั้น ยังไง ๆ Flash ก็ได้เปรียบอยู่มาก เพราะถ้าจับ HDD ยัดลงไปคงทำให้ เครื่องใหญ่เบ้อเร่อบ้าร่า แถมยังเปลืองแบตเตอร์รี่อีกด้วย และอุปกรณ์เล็ก ๆ บางอย่างก็ไม่ได้ต้องการความจุเป็น 100 GB ขนาดนั้น แค่ 1 GB ก็เหลือเฟือแล้วสำหรับหลาย ๆ คน และในอนาคตผมว่า ขนาดมันยิ่งจะเล็กลงไปกว่านี้อีก

ถ้าให้ผมฟันธง (เอ๊ะทำไมช่วงนี้ติดคำนี้) ผมว่าภายใน 5 ปีนี้ ทั้ง Flash Memory และ Hard Disk Drive ไม่มีใครตายหรอกครับ คนที่อาการโคม่าและจะตายก่อนเพื่อนก็คือ ฟิล์มถ่ายรูปครับ เพราะตอนนี้ไม่มีใครซื้อกล้องธรรมดากันแล้ว ผมว่าอีกภายใน 5 ปีคุณจะไม่เห็นคนถ่ายรูปด้วยกล้องแบบฟิล์มอีกแล้ว ตัวต่อมาที่จะตามลงหลุมไปก็คือ พวกเทป ครับ โดยเฉพาะวีดีโอเทป และเทปเพลง จะตาม ฟิล์มไปติด ๆ ส่วนเทปที่อยู่ในรูปของเครื่องถ่ายวีดีโอต่าง ๆ อีกไม่นานครับ คิวต่อ ๆ กันเลย และตัวสุดท้าย ผมว่าก็คือพวก CD, DVD นี่แหละครับ อย่าหาว่าผมมั่วนะครับ ลองคิดดู ในอนาคตถ้าคุณสามารถต่อเข้าอินเตอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยความเร็วสูง ข้อมูลทุกอย่างคุณสามารถดาวน์โหลดมาจากอินเตอร์เน็ตได้ ไม่ว่าจะเป็นหนังเป็นเพลง หรืออื่น ๆ แล้วคุณจะลำบากเดินไปซื้อแผ่นจากที่ร้านทำไมละครับ

สรุป สงครามครั้งนี้ค่อนข้างแปลกเพราะ Flash Memory รบกับ Hard Disk Drive แต่ปรากฏว่าคนอื่นตายเป็นเบือ สองคนนี้รวยเอ๊ารวยเอา เป็นสงครามที่แปลกมากเลยครับ

Wednesday, October 05, 2005

ATI X1000 Graphics Family

ทาง ATI ออกการ์ดจอรุ่นใหม่ในตระกูล X1000 ดูท่าจะแพรง (แพง + แรง) ดูไปงั้นแหละ คงไม่ซื้อหรอก

จริง ๆ แล้วไม่ได้ติดตามเรื่องการ์ดจอมานาน จำได้ว่าล่าสุดที่สนใจวิเคราะห์ทดสอบ ทดลองต่าง ๆ นา ๆ ตอนนั้นซื้อ GeForce 2 MX RAM 32 MB ตอนนั้นถือว่าหรูมาก หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องการ์ดจออีกเลย เวลาซื้อคอมพิวเตอร์ก็เอาแค่ธรรมดามันก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้งานทั่วไป เป็นผลทำให้ไม่สนใจอีกเลย เวลาผ่านไปประมาณ 5 - 6 ปี ทั้ง ๆ ที่อยู่ในวงคอมพิวเตอร์พอควร แต่ถ้าใครมาถามเรื่องการ์ดจอ ตอนนี้ส่ายหัวอย่างเดียว ไม่รู้เรื่อง มันมีรุ่นอะไรบ้างก็ไม่รู้เต็มไปหมด ทั้ง NVIDIA ทั้ง ATI (เมื่อก่อน ATI ยังไม่ดังด้วยซ้ำ) รู้แต่ว่ามันออกใหม่ ข้อมูลเรื่องการ์ดจอในหัวมันว่างเปล่าจริง ๆ

รายละเอียดดูที่ Radeon X1000 Series

Dell offers an open-source PC

ถ้าใครเคยใช้เครื่องของ Dell จะพบว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมา Dell เขาจะขายเครื่องพร้อมกับ Windows โดยลงมาให้เรียบร้อย ยกเว้น Server ซึ่งอาจจะเป็น Linux แล้วแต่เราเลือก แต่ตอนนี้ Dell เขาเริ่มขายเครื่องเปล่า ๆ สำหรับคนที่ต้องการใช้ Opensource เช่น FreeDos หรือ Linux แทน Windows ซึ่งทำให้ราคาถูกลงมานิดหน่อย เป็นผลดีสำหรับคนที่อยากใช้ Opensource แต่ต้องการใช้เครื่องของ Dell เพราะ Dell เขามีข้อดีมาก ๆ เรื่องบริการหลังการขาย ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เครื่องของ Dell ลง Linux ไม่ได้นะครับ มันลงได้แต่ว่าเราจะต้องเสียค่า Windows ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใช้

Ref: ZDNetAsia

FlexWiki Opensource Wiki Software (C#)

เผอิญว่ามีความคิดที่จะใช้โปรแกรมจำพวก Wiki มาทำเอกสารออนไลน์ ก็เลยมอบหมายให้สมุนเอก Google ไปจัดการ แล้วมันก็รายงานมาเป็นล้านเลย ด้วยเวลา 0.27 วินาที ไม่รู้โม้หรือเปล่า และสุดท้ายก็เลือกได้ FlexWiki ซึ่งเป็น Opensource เขียนด้วย C# ลองลงดูก็ OK ใช้ได้ดีทีเดียว แต่หน้าตามันไม่สวยเหมือนของ ทางฝั่ง Wikimedia Foundation แต่ก็ไม่เป็นไรอยากลองเล่นฝั่ง .NET ดูบ้าง แต่สิ่งแรกที่จะทำก็คือ จัดการกับหน้าตามันก่อนเป็นอันดับแรก แบบว่าทำใจรับไม่ค่อยได้ ไม่รู้ทำกันอีท่าไหนถึงได้หน้าแต่แบบนี้ออกมา เฮ้อ.....

ส่วนฝั่งนั้น ดูซิ Wikipedia Wikinews Wikibooks Wiktionary Wikiquote Wikispecies Wiki Commons Wikisource เอากันเข้าไป


ถ้าใครยังไม่รู้ว่า Wiki คืออะไร เข้าไปดูคำอธิบายได้ที่ What is Wiki? ถ้าให้แปลง่าย ๆ ก็คงจะเป็น เอกสารในรูปแบบของเว็บที่ทุก ๆ คนสามารถเข้าไปช่วยกันเขียน ช่วยกันอ่าน ได้อย่างง่าย ๆ คือไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเป็นก็ทำได้

แอ่น แอ๊น.... และแล้วก็เข้าทางโปรแกรมเมอร์ คือผลักภาระไปให้คนอื่นเขียน เพราะงานด้านเอกสารเป็นงานที่โปรแกรมเมอร์เบื่อที่สุด (อย่างน้อยที่สุดทุก ๆ คนที่ผมรู้จักก็เป็นแบบนี้) ใครมาชอบบ่นว่าทำไมเอกสารไม่เสร็จซักที ก็เอาไปเขียนเองเลยไป

Tuesday, October 04, 2005

.NET Ebooks

ที่ EastASP เขามี Ebooks เกี่ยวกับ .NET ให้ Download กันครับ ผมลองเข้าไป Download มาลองเปิดดูเทียบกับหนังสือที่ผมมีซึ่งส่วนใหญ่ราคาประมาณ 2,000 - 3,000 บาท ต่อเล่ม ปรากฏว่าเหมือนกันเด๊ะ เผลอ ๆ Edition ใหม่กว่าด้วย และเท่าที่เปิดดู มีหนังสือทุก ๆ เล่มของ .NET เลย มีทั้งตระกูลทั้งโคตรเลยก็ว่าได้ เยอะมาก ๆ ผมพยายามหาอ่านดูข้อมูลเรื่อง ลิขสิทธิ์ ก็ไม่เห็น พยายามจะเข้าไปอ่าน FAQ กับ Webboard ก็ดันเป็นภาษาจีนอีก ใครอ่านภาษาจีนออกช่วยบอกหน่อยนะครับ

สิ่งที่ผมสังสัยและกลัวก็คือ มันเป็นเว็บเถื่อนหรือเปล่า เพราะดูแล้วเขาทำเหมือนเว็บมาตรฐานอย่างดีเลยหละ ถ้าไม่ใช่เว็บเถื่อนก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ เพราะช่วยให้คนเข้าถึงแหล่งความรู้ได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าเป็นเว็บเถื่อนคงสร้างความเดือดร้อนให้ ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ และร้านขายหนังสือเป็นอย่างมาก

สำหรับผมแล้วเจตนาที่เข้าไปดูรายละเอียดหนังสือก็เพื่อ ดูว่าเนื้อหาเป็นยังไงบ้าง คุ้มค่าหรือเปล่า เพราะเคยสั่งซื้อหนังสือเล่มหนึ่งมาราคาประมาณ 4,000 บาท แต่เนื้อหาข้างในไม่ได้เรื่องเลย เสียดายเงินมาก ๆ แล้วถ้าเล่มไหนผมดูแล้วเนื้อหาดีน่าอ่าน ยังไงผมก็คงซื้ออยู่เหมือนเดิม เพราะผมถือเป็นการตอบแทนคนเขียนที่เขาอุตส่าห์เสียเวลามานั่งแต่งหนังสือที่ดี ๆ ให้เราอ่าน เพราะการทำหนังสือแต่ละเล่มนั้นใคร ๆ ก็คงพอรู้ว่ามันยากแค่ไหน

เพราะฉะนั้นสำหรับผมเว็บนี้เปรียบเสมือนโชว์รูมของหนังสือ .NET ที่ผมจะเดินเข้าไปเปิด ๆ ดู คร่าว ๆ ว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร ถ้าเล่มไหนดีก็พร้อมที่จะซื้อ และจ่ายเงินด้วยความเต็มใจ ถ้าเล่มไหนไม่ได้เรื่องก็จะวางไว้บนชั้นของมันตามเดิม

EastASP Home Page

แปรงทำความสะอาดหน้าจอสำหรับเครื่อง Notebook



ผมเป็นคนที่ให้ความสนใจกับหน้าจอคอมพิวเตอร์มาก ๆ คือไม่ค่อยชอบให้มันมีฝุ่นหรือมีคราบสกปรกติดที่หน้าจอ เวลาใช้งานถ้ามีคราบหรือฝุ่นติดอยู่หน้าจอผมจะรู้สึกว่าวิสัยทัศน์ในการใช้เครื่องจะไม่ดี กลัวขับคอมพิวเตอร์ตกทางยังไงชอบกล ถ้าใช้เครื่อง Desktop ที่จอเป็นแบบ CRT นั้นไม่ค่อยมีปัญหาเวลาหน้าจอสกปรก ผมก็หาผ้าสะอาดมาเช็ดได้เลย แต่ถ้าเป็นเครื่อง Notebook หรือ จอ LCD นี่ผมไม่ค่อยอยากใช้ผ้าเช็ดเท่าไหร่เพราะมันทำให้หน้าจอเป็นรอยง่ายมาก ถ้าจะซื้อแผ่นกันรอยขีดข่วนเหมือนของพวก Pocket PC มาใช้ ราคาก็เป็นพัน ผมพยายามหาแปรงมาใช้แต่แปรงส่วนใหญ่ขนก็แข็งมาก สุดท้ายผมก็นึกถึงเจ้านี่ ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไรนะครับ เป็นแปรงที่ผู้หญิง (ส่วนใหญ่) เขาใช้ปัดหน้า เจ้าแปรงนี้มันนุ่มมาก ๆ ขนาดเอาลองปัดหน้า หรือปัดหลังมือดูยังรู้สึกว่ามันนุ่มมาก ๆ ผมมั่นใจว่าไม่มีแปรงแบบไหนที่นุ่มกว่านี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นใช้กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ได้สบายหายห่วง




ตอนผมไปซื้อผมยืนลองอยู่หลายอัน เพราะมันมีหลากหลายรูปทรงมาก พวกออกแบบเครื่องสำอางนี่ผมว่ามันสุดยอดหัวศิลป์จริง ๆ ลองไปลองมา (สงสัยว่าเจ้าของร้านมันคิดว่าผมเป็นกระเทยไปแล้วมั๊ง) มีหลายราคาตั้งแต่เป็นชุด ราคาหลายพันบาท สุดท้ายได้อันนี้ราคา ๒๐ บาท

เนื่องจากขนาดมันเล็กมาก ความยาวประมาณนิ้วชี้ แต่ผอมกว่านิ้วชี้ผมอีก น้ำหนักก็เบามาก แถมเปิดออกใช้งานก็สะดวก ปิดเก็บใส่กระเป๋า Notebook ก็ไม่เกะกะ ไม่ใช่แค่ใช้ปัดทำความสะอาดหน้าจอได้อย่างเดียว มันยังสามารถใช้ปัดตามซอก Keyboard ปัดทำความสะอาดส่วนต่าง ๆ ของเครื่องได้เป็นอย่างดี รูปร่างหน้าตาก็ดูดี ถ้าเทียบประโยชน์การใช้งาน ประสิทธิภาพ ความสะดวก ความคุ้มค่าต่อราคา ผมขอฟันธง อันนี้เลยครับ

Saturday, October 01, 2005

Labtop ราคา $100 สำหรับเด็ก ๆ


ได้ยินข่าวแว่ว ๆ มาว่านายกของเราจะซื้อ Labtop มาแจกเด็กนักเรียน ตอนแรกคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้เพราะคอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องต้องประกอบด้วย CPU, Hard Drive, RAM, Monitor, Mainboard และอื่น ๆ อีก สมมุติว่าเป็นเครื่อง Desktop แค่คิดแบบคร่าว ๆ ก็เป็นหมื่นเข้าไปแล้ว ยิ่งเป็น Notebook หรือ Labtop เลิกพูดเลยเพราะถ้าสเป็กเดียวกันมันจะแพงกว่า Desktop ขึ้นไปอีกเท่าตัว เพราะฉะนั้นถ้าบริษัทไหนจะมาขายเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ในราคา $100 รับรองเจ๊งแน่นอน ไม่ว่าจะทำยังไงราคานี้มันก็ทำไม่ได้แน่นอน

พึ่งรู้ข้อมูลมาว่ามันเป็นความจริง ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ความคิดของนายก (ตอนแรกผมนึกว่านายกของเราเป็นคนริเริ่ม แล้วไปหาพันธมิตรเหมือนที่เป็นมา แต่อันนี้ไม่ใช่ ถึงยังไงก็ดีเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุน) มันเป็นโครงการของทาง MIT Media Lab ซึ่งเขามีความคิดริเริ่มที่จะทำ Labtop ราคา $100 สำหรับเด็ก ๆ ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา โดยเริ่มต้นที่ ประเทศจีน ไทย บราซิล และ อียิปต์ เขาจึงได้เริ่มทำการวิจัยคิดค้น และสุดท้ายจะส่ง Spec ให้บริษัทผู้ผลิต ซึ่งต้องผลิตเป็นจำนวนมากเหมือนกัน คือต้องผลิตเป็นล้าน ๆ เครื่อง ถึงจะได้ราคานี้ และชื่อโครงการนี้ก็คือ One Labtop per Child (OLPC) สุดท้ายผลของการออกแบบก็ได้รูปร่างหน้าตามาเป็นแบบนี้



เห็นรูปตอนแรกแล้วงงกว่าเดิมอีก มันจะทำได้ยังไง $100 ทั้งบางทั้งเล็ก แถมยังสวยอีกต่างหาก ขนาดอันหนา ๆ มันยังเป็น $1,000 เลย พอไปดูรายละเอียดถึงพอเข้าใจ โดยสเป็คของมันคือ CPU 500 MHz, Memory 1 GB เข้าใจว่าน่าจะเป็นพวก Flash, Monitor 1 Megapixel, WiFi, Cell Phone (ติดต่อกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้), USB support, มีเครื่องปั่นไฟในตัว และใช้ Linux จะเห็นว่าไม่มี Hard Drive

สิ่งที่เขาสามารถทำให้ราคามันต่ำได้คือ
1. เทคโนโลยีที่เขาคิดขึ้นมาเพื่อผลิตจอนั้นราคาถูกมาก ทำให้ราคาจออยู่ที่ $35 เท่านั้น
2. ไม่มี Hard Drive
3. ใช้ Linux
4. ผลิตเป็นจำนวนมากโดยในช่วงแรกจะผลิต 10 - 15 ล้านเครื่อง และต่อไปคาดว่าจะผลิตปีละ 100 ล้านเครื่องเลยทีเดียว


จะเห็นว่ามันบางมาก ๆ



หมุนไปหมุนมาทำเป็น Labtop, ebook, Handheld, ดูหนัง, สมุดโน๊ต, Tablet ได้ สุดยอดการออกแบบจริง ๆ สมชื่อ MIT



ตอนสะพายก็ดูเท่ห์ไม่เบาแถมปั่นไฟใช้ได้เองอีกด้วย คราวนี้หละเอา Labtop ไปใช้ตอนเลี้ยงควาย หรือขี่หลังควายได้จริง ๆ บางคนอาจจะคิดว่าสเป็คต่ำขนาดนี้จะทำอะไรได้ ถ้าเปรียบเทียบกับ Pocket PC จะเห็นว่าตัว Pocket PC สเป็คต่ำกว่านี้ทุกอย่าง สามารถดูหนัง ฟังเพลง เล่นเน็ต ทำงานเอกสารได้ เผลอ ๆ เขียนโปรแกรมได้อีกด้วย เพราะฉะนั้นไอ้นี่เพียงพอแน่นอนสำหรับเด็ก ๆ

สิ่งที่ Labtop ตัวนี้ทำได้เมื่อเทียบกับเครื่องทั่ว ๆ ไปก็คือ ทำได้เหมือนกันหมดเกือบทุกอย่างยกเว้น การเก็บข้อมูลจำนวนมาก ๆ ซึ่งไม่น่าจะจำเป็นมากสำหรับเด็ก เป็นสิ่งที่ดีถ้าเด็ก ๆ ของเราจะได้ใช้เครื่องพวกนี้ เข้าใจว่างบประมาณต้องใช้จำนวนมากพอสมควร และรัฐบาลไม่ใช่แค่จะซื้อเครื่องให้ก็จบ เพราะจะเห็นว่าตัวเครื่องไม่มี Storage เช่นพวก Hard Drive เพราะฉะนั้นข้อมูลส่วนใหญ่จะต้องเก็บอยู่บน Server อาจจะเป็น Server ของโรงเรียน และให้เด็ก ๆ เขาสามารถเรียกใช้ข้อมูลต่าง ๆ ได้ผ่าน WiFi โรงเรียนก็ต้องลงทุนกับของพวกนี้อีกพอสมควร และก็ต้องพัฒนาบุคลากรที่เป็นครูด้านคอมพิวเตอร์ให้เก่งขึ้นไปอีก ถ้าทำได้จะเป็นประโยชน์มาก ยกตัวอย่างเช่น กระทรวงศึกษาธิการ มีข้อมูลเกี่ยวกับภูมิศาสตร์เป็นภาพสามมิติ ของประเทศไทย ก็สามารถส่งข้อมูลหรือโปรแกรมไปยัง Server ของทุก ๆ โรงเรียนเสร็จแล้วก็ให้นักเรียนโหลดเอาไปดูกันในห้องเรียนเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน และสามารถเอากลับบ้านไปนั่งดูอยู่เถียงนาในวันเสาร์อาทิตย์ขณะไปช่วยพ่อแม่ทำนาก็ได้

ในอนาคตถ้ามี WiMax ใช้และสามารถ Support WiMax ได้นี่เด็ก ๆ ไทยคงไปอีกไกล ถ้าโครงการนี้สำเร็จคงต้องขอบคุณ Nicholas Negroponte ผู้ริเริ่มโครงการ และถ้านายกของเราเอามาต่อยอดทำให้เป็นรูปธรรม มีบริการด้านอื่น ๆ รองรับ ไมใช่สักแต่ซื้อแจกไปอย่างเดียว ก็จะต้องขอชมนายกคนนี้อีกสักครั้ง มารอดูกันว่าอนาคตจะเป็นเหมือนที่คิดไว้หรือเปล่า

ข้อมูลเพิ่มเติม
MIT Media Lab MrPalm Manager