Monday, December 25, 2006

IE7 Bug

ไม่รู้ใครเจอบ้างหรือเปล่า เจอแบบนี้เยอะมาก ทำไม IE7 ย้ำคิดย้ำทำ ไมโครซอพท์ประเทศไทยทำอะไรอยู่น้อ

IE7_Bug



Firefox_Good

Sunday, December 24, 2006

Mini Master of Java Technology

ตั้งใจว่าจะเขียนจาวามานานแต่ไม่มีโอาสซักที พอดีช่วงนี้มีคนชวนทำโปรเจคเกี่ยวกับจาวาก็เลยเริ่มเขียนดู พอเริ่มเขียนไปได้หน่อยก็ได้ข่าวว่ามีโครงการ Mini Master of Java Technology ของลาดกระบังร่วม กับ Sun JAVA Certified Training Center ก็เลยตัดสินใจเรียนจะได้ไม่ต้องมานั่งอ่านเองให้เสียเวลา และเป็นการบังคับตัวเองไปในตัวด้วย

โครงการนี้เปิดสอนที่ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
อาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 (ตอนแรกผมนึกว่าจะเรียนที่ลาดกระบัง แต่เรียนที่นี่ก็สะดวกดีเหมือนกัน มีทหารเฝ้าทางเข้าออกด้วย - -') รุ่นที่ผมเรียนเป็นรุ่นที่สอง ถ้าใครสนใจลองติดต่อสอบถามดูได้ ผมคิดว่ารุ่นที่สามน่าจะเปิดช่วงกลางปี 2007

MMJT2_1

วิชาที่สอนมีทั้งหมด 4 วิชา ใช้เวลาเรียนทั้งหมด 4 เดือน เรียนเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ มีการสอบและตัดเกรดเหมือนในมหาวิทยาลัย หลังจากจบจะได้ใบ Certificate และ Transcript ด้วย

การเรียนการสอนเริ่มวิชาแรกด้วยพื้นฐานการเขียนโปรแกรมภาษาจาวา ส่วนที่เหลือจะเน้นไปที่ J2EE คนที่เรียนส่วนใหญ่เป็นคนที่ทำงานหรือเป็นเจ้าของกิจการของตัวเองอยู่แล้ว ดูแต่ละคนตั้งใจเรียนดี วิชาแรกพึ่งเรียนจบเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่ค่อยยากเท่าไหร่เพราะ 80 เปอร์เซ็นต์มันเหมือนกับ C# (รอดูข้อสอบว่าจะยากหรือเปล่า)

ตอนเรียนผมนั่งข้าง ๆ พี่เจษฏ์ (3D Daily) เห็นพี่เค้าใช้ Mac มันสวยจริง ๆ (อยากได้บ้างจัง)

รูปที่ Flickr

Saturday, November 25, 2006

Canon EOS 400D


ตัดสินในซื้อกล้อง Digital SLR ตัวแรกในชีวิต หลังจากใช้กล้องกระเทยอย่าง Fuji S5000 มานาน จนพังไปแล้ว จะว่าไปแล้วเจ้า S5000 (ตอนหลัง S5500 และ S5600 ออกมาแทนตามลำดับ) ก็ทำงานได้ดีพอสมควร ถ้างบน้อย มีเงินหมื่นเดียว อยากได้กล้องที่ความสามารถใกล้เคียงกับ SLR ผมคิดว่า S5600 ก็ยังเป็นรุ่นที่น่าใช้ที่สุด


Canon EOS 400D เป็น DSLR รุ่นเล็กตัวล่าสุดจากทาง Canon แต่มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเพียบ หลังจากลองเล่นดูทั้งวัน สิ่งที่ผมประทับใจมาก ๆ ก็คือ มันสามารถถ่ายตอนกลางคืนในโหมด ISO 1600 ได้ดีมากไม่มีสีเพี้ยนหรือแตกให้เห็น ทำให้การถ่ายรูปกลางคืนง่ายขึ้นเยอะเพราะแค่แสงไฟฟลูออเรสเซนต์ธรรมดาตามบ้านก็เพียงพอที่จะถ่ายรูปได้ด้วย Shutter Speed เร็วกว่า 1/100 s ขึ้นไป ถือว่าทาง Canon ทำการบ้านข้อนี้ได้ดีมาก ผมให้ไปเลย 10 คะแนนเต็มในส่วนนี

ที่น่าประทับใจก็มี Self Cleaning Sensor Unit และสุดท้ายเรื่องราคา ผมว่ามันก็พอรับได้สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้กล้องทำมาหากิน แต่อยากมีกล้อง DSLR ใช้กับชาวบ้านเขาบ้าง เผื่อว่าจะฟลุ๊กถ่ายรูปดี ๆ กับเขาได้ซักรูปในชีวิต

ส่วนเลนส์เป็นของ Sigma 18-200 mm F3.5-6.3 DC คิดว่าตัวนี้ตัวเดียวพอเลยสำหรับชีวิตการถ่ายรูปทั่ว ๆ ไป


ผมว่าผู้ชายส่วนใหญ่มันก็คือ ๆ กัน คือ มันบ้าคล้าย ๆ กัน เพราะผมเองก็บ้าไอ้ของพวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ คอมพิวเตอร์แรง ๆ กล้องถ่ายรูปดี ๆ มันก็แค่นี้แหละชีวิตผู้ชาย


ไว้วันหลังฟลุ๊ก ๆ ผีผลักมือกด shutter ได้รูปสวย ๆ เดี๋ยวจะเอามาโชว์กับเขาบ้าง ตอนนี้ถ่ายมั่ว ๆ บ้า ๆ เล่น ๆ ไปก่อน

Friday, October 27, 2006

Google ใช้ OS อะไร

ผมสงสัยมานานว่าที่ Google นั้นเขาใช้ OS ตัวไหน (จะได้เอามาใช้บ้าง) มาอ่านเจอ blog ที่ topix.net ชื่อ The Secret Source of Google's Power ถึงได้รู้ว่ามันสุดยอดกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก

Google มี OS และ File System ของตัวเองเขาเรียกมันว่า GFS (Google File System) ซึ่งรองรับไฟล์ในระดับ Peta Bytes ส่วน App (ไม่แน่ใจว่าทุกตัวหรือเปล่า) ทำงานอยู่บน RAM (ไม่น่าสงสัยว่าทำไมเวลา Search มันถึงเร็วนัก) Server ก็มีอยู่เป็นแสนตัว !!! Server แต่ละตัวไม่ใช่พวกราคาแพงหูฉี่ HDD ที่ใช้ก็ไม่ได้ต่อ RAID เพราะเน้นถูก ซึ่ง RAID Controller ก็ทำให้ราคาแพงต่อ HDD หลายตัวก็แพงขึ้นไปอีก Mainboard ก็เป็นแบบธรรมดา Server ตัวนึงมี HDD แค่ 1-2 ตัวเท่านั้น

หลักการก็คือ แทนที่จะเอาเงินซื้อเครื่องหรู ๆ ราคา 200,000 - 300,000 บาท ก็เอาไปซื้อเครื่องธรรมดาหนึ่งเครื่องราคา 20,000 - 30,000 บาท ซึ่งประกอบไปได้ HDD, M/B แล้วก็ RAM เท่านั้น ด้วยงบเท่ากันทำให้สามารถซื้อเครื่องแบบนี้ได้ 10 เครื่อง เพราะไม่งั้นป่านนี้ Google คงเจ๊งไปกับค่า Server ไปแล้ว ประเด็นก็คือระบบที่ Google ออกแบบมากกว่า ระบบที่ออกแบบนี้ไม่ได้สนใจความเสถียรของ Computer เท่าไหร่นัก (เหมือนกับที่อื่น ๆ ต้องใช้ Server ระดับเทพ ราคาก็ระดับเทพ) ถ้า Computer เจ๊งก็ถอดมันออกให้ตัวที่เหลือทำงาน (เพราะมีเครื่องมากกว่าตั้งสิบเท่า) ซ่อมเสร็จก็ต่อเข้าไปช่วยเพื่อนทำงาน ซื้อมาใหม่ก็ต่อเข้าไปช่วยเพื่อนทำงาน key word ก็คือ เครื่องเจ๊งได้ (มีเครื่องเยอะซะอย่าง) แต่ระบบเจ๊งไม่ได้ ด้วยประการทั้งหมดนี้ทำให้ Google ต้องใช้เงินลงทุนต่อพื้นที่เก็บข้อมูลต่อ 1 GB อยู่ที่ประมาณ $2 เท่านั้น ซึ่งถือว่าถูกมาก ๆ ไอเดียแบบนี้บรรเจิด แต่ทำยาก

คนสำคัญที่มีส่วนช่วยออกแบบระบบนี้ให้ Google ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน Rob Pike มือเซียน Unix ที่เคยอยู่ในทีมออกแบบ Plan 9 จาก Bell Labs อันเลื่องชื่อ

Google มีสิ่งที่น่าทึ่งอยู่หลายอย่าง ไอเดียแต่ละอย่างมันฉีกแนวพอสมควร บางครั้งมันตรงข้ามกับสิ่งที่เรา ๆ คิดด้วยซ้ำ จริง ๆ เราก็ไ่ม่ได้คิดเองหรอกพวกพ่อค้าทั้งหลายเค้าล้างสมองให้เราเชื่อว่าสิ่งที่เขาจะขายนั้่นเป็นสิ่งที่ดี จำเป็นต้องมี ต้องทำ ฯลฯ แล้วก็จ่ายเงินมาซะ

มิน่าถึงไม่มีใครตาม Google ทันซักที

Saturday, September 30, 2006

Google Reader

ไม่ได้เขียน blog มานาน งานที่ต้องทำค่อนข้างเยอะ เมื่อวานลองเข้าไปใช้บริการตัวใหม่ของ Google นั่นก็คือ Google Reader ใช้ดูแล้วน่าประทับใจมาก ตอนนี้เหลืออย่างเดียวที่ผมใช้บริการของอย่างอื่นคือ del.icio.us

ตอนที่ลองก็ตระเวนไปอ่านบล็อกของเพื่อน ๆ พี่ ๆ ไปเจอ blog ของพี่ป๊อก เรื่อง Nuxeo & OSGi ก็เลยเข้าไปดูข้อมูลใน Wiki กับที่ Nuxeo พึ่งรู้ว่า Zope นั้นถ้าระบบใหญ่ขึ้นไปจนถึงข้อมูลระดับ 5 TB จะเริ่มไม่ไหว

Thursday, June 08, 2006

หุ่นยนต์เสริฟเบียร์


ผมเป็นคนที่ชอบเครื่องยนต์กลไก หรือไอ้พวกหุ่นยนต์มาตั้งแต่เด็ก เคยฝันไว้ว่าจะทำหุ่นยนต์ด้วยตัวเองซักตัว ตอนนี้มีความรู้ทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ พอสมควร ทางด้านโปรแกรมมิ่งก็พอไปวัดไปวา ยังเหลือ แมคคานิค ที่ไม่ค่อยรู้เรื่อง คงต้องเติมเต็มอีกพอสมควร

วันนี้เข้าไปเจอรูปนี้ที่ engadget ท่ารินเบียร์ของหุ่นตัวนี้มันเจ๋งจริง ๆ

Audacity


วันนี้ต้องการตัดต่อเพลง MP3 เพื่อเอาไปทำเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือ ก็เลยถามน้องเกิ้ลดู ได้คำตอบว่า Audacity ก็เลยลองดาวน์โหลดมาเล่นดู ใช้ได้เลยทีเดียว ฟีเจอร์ที่มีถือว่าตอบสนองความต้องการได้หมด โอเคผ่าน ถือเป็น โปรแกรมโอเพนซอร์สที่ประทับใจอีกตัวนึง

ถ้าโลกนี้ไม่มีโอเพนซอร์สกับอินเตอร์เน็ตผมจะทำยังไงดีเนี่ย

Wednesday, June 07, 2006

Google Spreadsheets

Google Spreadsheets เป็นโปรแกรมตารางคำนวนเหมือนกับ Microsoft Excel แต่ทำงานอยู่บนเว็บ วันนี้ได้ลองใช้ดูเป็นครั้งแรกยอมรับว่าน่าทึ่ง ผมอยากจะทำอย่างนี้มานานแล้ว แต่ทำไม่ได้ซักที ความยากที่ผมเจอคือ ทำยังไงจะให้ยูสเซอร์ใช้งานคีบอร์ดได้เหมือนบน Excel ใช้ลูกศรเลื่อนซ้ายเลื่อยขวา คีย์ข้อมูล แก้ไขค่า กด Ctrl+C แล้ว Ctrl+V เพราะ่ว่า HTML นั้นไ่ม่มี Control ที่เป็นลักษณะแบบนี้ (Grid) ให้เราใช้งาน

แนวคิดผมคือสร้าง Table แล้วยัด Textbox ลงไปทุก ๆ เซลล์ ผลปรากฏว่าแทบกระอักเลือด ต้องมาเขียนจาวาสคริปท์ เพื่อรับค่าคีย์บอร์ดว่ายูสเซอร์กดลูกศรปุ่มไหนแล้วก็ทำการโฟกัสไปที่ตัวนั้น ซึ่งมี Textbox อยู่เป็นพัน นี่แค่ปัญหาการควบคุมการโฟกัสเซลล์ จริง ๆ แล้วมีปัญหาอื่นอีกเพียบ



Google นายแน่มาก ซักวันจะเขียนแบบนี้ให้ได้

Saturday, April 22, 2006

Blognone Tech Day

11:50 น.
"พี่ครับตึก 15 อยู่ไหนครับ" ผมถามเจ้าหน้าที่ รปภ. ที่กำลังนั่งดูจอมอนิเตอร์อยู่หน้าลิฟท์ (เดินถามมาแล้วหลายคนแต่ไม่มีใครรู้จักตึก 15 เลย) รปภ. หนุ่ม เงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วตอบสั้น ๆ ว่า "นี่แหละ"
"อ้าว..." ผมอุทานด้วยความงง เพราะคนก่อนหน้านี้พึ่งบอกผมว่า ตึก 15 ไม่รู้อยู่ที่ไหนแต่ที่นี่ตึก 16!!!
"ผมมางาน Blognone ไม่ทราบว่าอยู่ชั้นไหนครับ"
"แลกบัตรไว้แล้วขึ้นไปติดต่อที่ชั้น 4 ก็แล้วกัน" อืม.... เป็นคำตอบที่ดีมาก

พอขึ้นไปถึงชั้น 4 มีเจ้าหน้าที่อยู่ 1 คน บรรยากาศเงียบเชียบน่านั่งสมาธิไร้วี่แววที่จะเป็นงาน Meeting ใด ๆ ถามเจ้าหน้าที่ก็ได้คำตอบกลับมาว่า "Blognone อะไร" ผมก็เลยจำเป็นต้องเอา PPC คู่หูออกมา connect GPRS เข้าบ้านเก่า www.blognone.com ถึงเห็นว่าในกำหนดการบอกไว้แล้วว่าชั้น 5 แต่ผมดันก็อปปี้แต่แผนที่ไว้ดู ในนั้นไม่บอกชั้นไว้แต่ดันบอกทางไป ม.ศรีปทุม ถ้าไม่มีเทคโนโลยีนี่ก็แย่เหมือนกันนะ

พอขึ้นไปถึงชั้น 5 ชั้นนี้น่าทำสมถะกัมมัฏถานเข้าฌาณไปเลย เพราะทั้งเงียบและไม่มีคนบนทางเดินเลยแม้แต่คนเดียว เดินไปส่องดูห้อง 503 ตามที่บอกไว้ในกำหนดการ ห้องปิดไฟและไม่มีคนเลย ผมชักสงสัยว่ามาผิดที่ หรือผิดเวลาหรือเปล่า ก็เลยเดินไปส่องดูห้องอื่น ๆ เห็นคนอยู่ในห้องถัดไป 4 - 5 คน ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษาเพราะเด็ก ๆ กันอยู่ ก็เลยคิดว่าอาจจะไม่ใช่ เดินดูห้องอื่นต่อไป ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะมีห้องไหนเป็นงาน Meeting คงจะเป็นห้องเมื่อตะกี้นี้แหละ ก็เลยเดินหันหลังกลับ พอดีมีหนุ่มหน้ามนสวมแว่นเดินออกมาจากห้อง ผมนึกในใจว่านี่คงเป็น mk (ตอนหลังรู้ว่าใช่จริง ๆ ด้วย) แล้วผมก็เดินไปเปิดประตูเข้าไปถามคนในห้องที่นั่งกันอยู่ 3 - 4 คน "งาน Blognone ใช่ห้องนี้หรือเปล่าครับ"

"ใช่ครับ" ได้คำตอบมาจากหนุ่มตี๋คนนึง ผมนึกในใจว่าคนนี้ต้องเป็น lew แน่ ๆ แต่คิดไว้ในใจว่าน่าจะผอมกว่านี้ พอวางกระเป๋าเสร็จก็เลยถามหาโรงอาหารเพราะไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่เช้า

13:00 น.
- เริ่มงานด้วยคุณ Pok (ต่อไปต้องเรียกว่าพี่ป๊อก) พูดเรื่อง Ruby on Rails ผมชอบตอนนี้ที่สุดเพราะผมกำลังอยากจะเขียน Ruby อยู่ แต่พี่ป๊อกดำกว่าที่ผมคิดไว้ (แต่ไม่อ้วนนะ)

- ต่อมาคุณ สุกรี พูดเรื่อง Zope แต่ฟังไปฟังมาแยกไม่ออกว่าอันไหน Zope อันไหน Plone จริง ๆ แล้วผมก็สนใจ Zope อยู่เหมือนกัน เพราะที่บริษัทใช้ Python อยู่แล้ว แต่ผมไม่ได้เขียนเพราะผมไม่ได้รับผิดชอบตรงนี้ ว่าง ๆ ก็กะว่าจะไปขอทำโปรเจคท์ Python ซักตัวอยู่เหมือนกัน ขอเล่าอะไรให้ฟังหน่อยเผื่อใครยังไม่รู้ เครื่องจักรรุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัทผมเขียนด้วย Python รันบน Linux ควบคุมเครื่องผ่านเว็บเบราเซอร์ แบบเรียบไทม์ ซอฟแวร์ทุกตัวเป็น Opensource หมด เครื่อง ๆ นึงมีคอมพิวเตอร์อยู่ 14 ตัว ติดต่อกันผ่าน TCP/IP ส่วน H/W ติดต่อผ่าน USB ทั้งหมด เบ็ดเสร็จราคาประมาณร้อยล้านต่อเครื่อง มีอยู่หลายสิบเครื่อง วัน ๆ เครื่องพวกนี้ผลิตอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่เราใช้ ๆ กันอยู่ได้เป็นแสนตัว นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า Opensource และ Python นั้นไม่ธรรมดา อย่าคิดว่าเขาเขียนกันเล่น ๆ งานอุตสาหกรรมระดับโลกก็ใช้อยู่ เพราะฉะนั้นใครตั้งใจจะศึกษาก็ศึกษาซะรับรองไม่เสียหลาย

- EJB 3.0 ของคุณ deans4j อืม.... ไม่ขอพูดมากเพราะไม่ค่อยถนัด แต่ผมว่าคุณ deans4j บุคคลิกดูดี คนต่อไปดีกว่า

- Mono โดยคุณ วีนนาท ผมคาดหวังตรงนี้ไว้เยอะ ว่าจะได้เห็น Demo การเซ็ตอัพ หรือไม่ก็ตัวอย่างการใช้งาน เพราะผมอยากลองมานานแล้ว จริง ๆ แล้วก็เคยพยายามอยู่ครั้งนึงสมัย Mono พึ่งเริ่มต้นใหม่ ๆ แต่ไปไม่รอดเลยเลิก ส่วนเนื้อหาสำหรับผมถือว่าน้อยไปหน่อย แต่ถ้าคนที่ไม่เคยได้ยิน Mono มาก่อนก็ถือว่าดี สรุปแล้วสำหรับผมถ้าจะเขียน .NET ก็ไม่รู้ว่าจะไปใช้ Mono ทำไม ผมคงใช้ .NET Framework และ Windows 2003 Server ของผมต่อไปดีกว่า

- Emacs ของพี่พูลลาภ ซึ่งหน้าตาผิดคาดไปเยอะ คือหน้าตาดูดีกว่าชื่อ เนื้อหาก็น่าสนใจดี คงต้องลองใช้ดูแล้วหละเผื่อจะติดใจ

- Asterix ของพี่โดม ผมว่าตอนนี้มันสุด น่าจะให้พี่เค้าพูดซัก 2 ชั่วโมง ครั้งหน้าผมขอจองเวลาไว้ให้พี่เค้าเยอะ ๆ หน่อยก็แล้วกัน เนื้อหาน่าสนใจกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ ชักอยากลองดูอีกแล้วซิ

- Xen ของคุณสมพล ยังไม่เห็นว่าจะเอามาใช้อะไร เอาไว้ก่อนก็แล้วกัน

- Game Theory ของ อ.จิตร์ทัศน์ ก็น่าสนใจดี แต่ผมยังเห็นด้วยกับ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา มากกว่าคือมันไม่แน่นอน ประเด็นที่ผมเห็นคือทุกข์ ไม่ว่าจะอยู่เฉย ๆ ไปคอนเสิร์ตบอย ไปงาน Blognone หรือ ไปคนละที่ มันต้องมีคนทุกข์อยู่ดี

- Web 2.0 (ผมขอใช้ชื่อนี้ดีกว่า) ของคุณ ปรเมศวร์ ทำให้เห็นภาพอนาคตของเทคโนโลยีได้ดีเลยทีเดียว

- ZWSP โดยลิ่ว พูดถึงการตัดคำภาษาไทย และปัญหาในการ Search ภาษาไทยจาก Search Engine ซึ่งผมก็ติดปัญหาตัวนี้มานานเหมือนกัน เรื่องนี้น่าสนใจและเป็นประโยชน์กับคนไทยมาก เพราะถ้าเราทำเว็บให้ Search Engine ค้นหาคำได้เป็นคำ ๆ จะทำให้คนไทยเข้าถึงข้อมูลได้ดีและตรงประเด็นมากกว่านี้ ผมเข้าใจว่า Google กับ Sanook ก็พยายามแก้ปัญหานี้เหมือนกัน ถ้าเค้าแก้ได้เราก็สบายไปไม่ต้องทำอะไร แต่ช่วงที่รอนี่สิต้องหาทางออกทางอื่นไปก่อน จริง ๆ ลิ่วน่าจะพูดให้เยอะกว่านี้หน่อย

สรุป คนไปเยอะกว่าที่ผมคิดไว้เนื้อหาก็ถือว่าใช้ได้ แต่ต้องให้เวลาคนละชั่วโมงถึงจะดี (ยกเว้นพี่โดมให้ 2 ชั่วโมง) ที่ขาดมีอยู่สองอย่างคือ 1 ไม่มีคนถ่ายรูป 2 ผมคิดว่าจะได้รู้จักกับคนที่คุ้น ๆ กันในเว็บอีกหลายคนแต่ก็ไม่ได้รู้จัก คือถ้าคนไหนได้พูดก็ดีไป ส่วนคนอื่น ๆ นี่สิ ทำไงดี

22:00 น. กลับถึงโคราช มีใครไปไกลเหมือนผมหรือเปล่าเนี่ย?
03:42 น. นั่งพิมพ์บล็อกบรรทัดสุดท้าย ไปนอนดีกว่า

Thursday, March 30, 2006

ลง MediaWiki

หลังจากจัดการกับ MySQL ได้แล้วก็ลง MediaWiki จะเอาไว้ให้คนในทีมร่วมกันทำเอกสาร เป็นฐานความรู้ขององค์กร ตอนลงก็ไม่ยาก ก็แค่ไป fetch ไฟล์มาจาก SourceForge แล้วก็ unzip แล้ว copy ไปไว้ในส่วนของเว็บ แล้วก็เรียกไฟล์ Config ระบบจะให้กรอกข้อมูลอีกนิดหน่อย ใส่ ๆ ไป ที่สำคัญต้องใส่ username กับ password ของ MySQL root ด้วยเพื่อสร้างฐานข้อมูลให้เราอัตโนมัติ ตอนสุดท้ายก็ให้ย้าย config ไฟล์ไปยัง path ที่ลงไว้ เป็นอันจบ

เขียนแบบรีบ ๆ ไม่ได้เอาคำสั่งและ Capture หน้าจอมาไว้ เพราะขี้เกียจ แล้วตอนทำมันก็รีบด้วย - -'

Wednesday, March 29, 2006

Setup MySQL บน FreeBSD

นั่งลง FreeBSD เครื่องเก่าที่บ้าน ว่าจะเอาทำเป็น Server ให้ Access จาก Internet ข้างนอก โดยผ่านทาง no-ip.com ก็เลยลง MediaWiki ว่าจะเอาไว้ให้คนใกล้ตัวใช้งานแต่ดันติดปัญหาเรื่อง MySQL ปกติเคยลง Oracle กับ MySQL บนวินโดวส์ พอเอา MySQL มาลงใน FreeBSD ถึงกับงงอยู่หลายชั่วโมง ขอบันทึกไว้หน่อยเผื่อมือใหม่ที่ไม่ค่อยเก่งแบบผมผ่านมาเจอ อาจจะเป็นประโยชน์ จริง ๆ ก็ไม่ยากเท่าไหร่นะ แบบว่าโง่นะ ต้องยอมรับ

อันนี้ผมลงเวอร์ชั่น 4 เดี๋ยวเวอร์ชั่น 5 วันหลังค่อยว่ากัน
# cd /usr/ports/databases/mysql40-server
#make install
เสร็จแล้วอย่าลืมไปเพิ่ม mysql_enable="YES" ใน /etc/rc.conf ด้วยหละ
แล้วจะสั่งสตาร์ท Service หรือลองรีสตาร์ทเพื่อความชัวร์ว่าเผื่อวันหลังเราบูทเครื่องขึ้นมามันเปิดเซอร์วิสให้เราหรือเปล่า
#reboot

หลังจากลง MySQL เสร็จแล้วสามารถ login เข้าฐานข้อมูลได้โดย
#mysql -u root mysql
เสร็จแล้วก็ตั่ง password ใหม่ซะ
mysql> set password = password("yourpassword");
แล้วก็ออกมา
mysql> quit

เสร็จแล้วลองเข้าใหม่โดยใช้ password ที่ตั้งไว้
#mysql -u root -p
มันจะขึ้นว่า
Enter password:
ก็ใส่ yourpassword ซะให้เรียบร้อย
หลังจากนั้นจะทำอะไรก็ค่อยว่ากันไป

ส่วนอันนี้ไปเจอที่ awaremag ยังไม่ลองดูไม่รู้ใช้ได้ป่าว
cd /usr/ports/databases/mysql41-server/
make install clean
/usr/local/bin/mysql_install_db
chown -R mysql:mysql /var/db/mysql/
/usr/local/etc/rc.d/mysql-server.sh start
/usr/local/bin/mysqladmin -u root password newpassword

Tuesday, March 14, 2006

Nokia 3310 PCBA

วันนี้ถ่ายรูปแผ่นวงจรมาให้ดูกัน ตามรายละเอียดที่เคยเล่าไปก่อนหน้านี้

แต่ Blogger ดัน error ขอเอารูปไปไว้ที่อื่นแล้ว link มาก็แล้วกัน (อาจจะใหญ่หน่อย)


Monday, March 13, 2006

แบตเตอรี่ โทรศัพท์มือถือ


พอดีนึกถึงเรื่องของแบตเตอรี่ คิดว่าหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าแบตเตอรี่ของโทรศัพท์มือถือที่มี 3 - 4 ขั้วนั้นเขาเอาไว้ทำอะไรกัน ส่วนคนที่รู้แล้วก็อย่าถือสานะครับ ถือว่าอ่านเล่น ๆ ขำขำก็แล้วกัน

ปกติแล้วแบตเตอรี่จะมีแค่สองขั้วคือ ไฟบวก กับ ลบ เท่านั้น แต่สำหรับโทรศัพท์มือถือ เหมือนในรูปเป็นแบตเตอรี่ของ 3310 จะมีทั้งหมด 4 ขั้ว นับจากด้านซ้ายไปขวามีรายละเอียดดังนี้ VBatt, BSI, BTemp และ Ground

1. VBatt (+) เป็นไฟบวก ปกติจะมีค่าแรงดันประมาณ 3.6 V แต่ถ้าวัดดูจริง ๆ จะสูงกว่านี้นิดหน่อย
2. BSI (Battery Size Indicator) เป็นตัวที่ใช้บอกว่าแบตตัวนี้เป็นแบบหนาหรือบางความจุเท่าไหร่
3. BTemp (Battery Temperature) เป็นตัวที่ใช้บอกอุณหภูมิของแบตเตอรี่ ถ้าอุณหภูมิของแบตเปลี่ยนแปลงจะทำให้ค่าความต้านทานภายในของขานี้เทียบกับกราวด์เปลี่ยนไป ไม่เชื่อลองเอาไฟแช็คลนไกล ๆ หน่อย (เดี๋ยวระเบิดไม่รู้ด้วย) แล้วใช้ โอห์มมิเตอร์วัดดูค่าความต้านทานจะเปลี่ยนแปลง หรือไม่ก็เอาไปแช่ตู้เย็นดูก็ได้ (แบบนี้ปลอดภัยกว่า) แต่ถ้าเป็นแบตปลอมคุณภาพห่วย ๆ บางตัวขานี้ก็ไม่ทำงาน ต้องลองกันเอาเอง
4. Ground (-) ขานี้เป็นกราวด์ (ไม่รู้จะแปลทำไม)

ส่วนแบตรุ่นใหม่ ๆ จะมีแค่สามขั้ว ขาที่หายไปคือ BSI เหลือแต่ BTemp นั่นเอง

เดี๋ยวจะลอง Short ระหว่าง (+) กับ (-) ของแบตแท้และแบตปลอมดูว่า จะเกิดอะไรขึ้น อยากรู้เหมือนกันว่าของแท้ที่โม้ ๆ ว่าตัวเองไม่ระเบิด แต่ของปลอมระเบิดนั้นจะจริงหรือเปล่า เพราะโอกาศที่โหลดจะลัดวงจรนั้นเป็นไปได้เสมอ ถ้าของแท้เจ๋งจริงต้องไม่เป็นไร ก่อนอื่นต้องหาเงินไปซื้อแบตก่อนเพราะของแท้แพงมาก

พื้นฐาน Nokia DCT3

พึ่งซ่อม Nokia 8310 เปิดไม่ติด ว่าจะเขียนไว้ซักหน่อย แต่มันง่ายมาก ก็เลยขอเกริ่นเรื่องแพลตฟอร์มของโทรศัพท์มือถือโนเกีย (เห็นฝรั่งมันออกเสียงว่า โน-กี-อะ) ให้อ่านกันเล่น ๆ ก่อน จบเรื่องนี้แล้วค่อยมาอ่านว่าเปิดไม่ติดทำยังไงก็แล้วกัน

Nokia มีหลายแพลตฟอร์มขอเริ่มต้นที่ DCT3 ซึ่งเป็นรุ่นเก่า ๆ เช่นพวก 3310 อะไรเทือกนี้ แล้วอย่าคิดว่าเก่าไม่สำคัญเพราะถ้าคุณซ่อม 3310 ได้จะเป็นพื้นฐานสำหรับรุ่นอื่น ๆ ทั้งหมด จนถึงเครื่องที่เป็นซิมเบี้ยนยันพ๊อกเก็ตพีซี

เครื่องที่อยู่ในตระกูล DCT3 ก็คือ 3210, 3310, 3330, 3350, 3390, 3410, 5110, 5130, 5146, 5190, 5210, 5510, 6110, 6130, 6150, 6210, 6250, 7110, 8210, 8250, 8290, 8850, 8890, 9000, 9110 และ 9210 ไม่รู้ว่าอนาคตจะมีอีกหรือเปล่า

วงจรต่าง ๆ ของโทรศัพท์มือถือถ้าไล่เป็นภาค ๆ ออกมาจะเหมือน ๆ กับ เอาคอมพิวเตอร์มาผสมกับ วงจรรับส่ง และจะมีไอซีตัวใหญ่ ๆ แต่ละตัวทำงานแบ่งหน้าที่กันไป
- CPU ปกติในมือถือจะเรียกว่า UPP คงไม่ต้องบอกว่าเอาไว้ทำอะไร (ไม่ได้เอาไว้ต้มไข่หรอกมั๊ง)
- RAM ไม่ต้องบอกเหมือนกัน
- ROM หรือ Flash Memory ตัวนี้ถ้าเทียบกับคอมพิวเตอร์คงจะเป็น Harddisk เพราะใช้เก็บซอฟท์แวร์ต่าง ๆ ของเครื่อง
- Antena Switch ทำหน้าที่สวิตช์สัญญาณระหว่างภาครับ และภาคส่ง ว่าใครจะใช้สายอากาศ ซึ่งมีอยู่อันเดียว (ใครเคยเห็นมือถือสองเสาบ้าง)
- RF IC แถวนี้เค้าเรียก HARGA (ไม่ใช่ฮานาก้า) ทำหน้าที่จัดการเกียวกับสัญญาณวิทยุเกือบทั้งหมด และจะทำงานร่วมกับพวก Oscillator, Filter และวงจรของ 1800 กับ 900 ซึ่งแยกกันด้วย
- Audio IC จัดการเกี่ยวกับเสียงติดต่อกับไมค์และลำโพง
- RF Power Amplifier บางครั้งก็เรียก PA เฉย ๆ ใช้ขยายสัญญาณวิทยุก่อนป้อนให้สายอากาศ (Ant. Switch) โดยมี Transformer ตัวเล็ก ๆ ทำหน้าที่ส่งผ่านกำลังไปให้
- Power IC ปกติเรียกว่า CCONT ใช้เปิดปิดเครื่องและจ่ายไฟให้ภาคต่าง ๆ ทั้งหมด ยกเว้น PA และยังทำหน้าที่ติดต่อซิมการ์ดอีกด้วย
- UI IC ใช้ควบคุมพวกหน้าจอ LCD หลอด LEDs ปุ่มกดต่าง ๆ และ บัซเซอร์
- Charging IC ควบคุมการชาร์ตแบตเตอรี่ (ถ้าชาร์ตแบตไม่เข้าให้สงสัยตัวนี้เป็นอันดับแรกถ้าแบตเตอรี่ดีนะ)

เดี๋ยวถ่ายรูปมาให้ดูกัน

Wednesday, March 08, 2006

โต๊ะคอมแบบนี้น่าจะดี

เคยเข้าอบรมเกี่ยวกับท่านั่งในการใช้คอมพิวเตอร์ให้ถูกหลักสรีรศาสตร์ แต่ก็ทำเหมือนที่เขาบอกไม่ได้ เพราะเครื่องใช้สำนักงานและอุปกรณ์อื่น ๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ออกแบบมาตามหลักสรีรศาสตร์ ช่วงหลังเริ่มมีอาการปวดหลัง วันนี้ไปเจอโต๊ะคอมจาก newthrone น่าสนใจดี แต่ถ้าซื้อมานั่งทำงานที่บริษัทคงแปลกน่าดู

Friday, January 27, 2006

Nokia กับ Samsung ดีกว่า

หลังจากเริ่มซ่อมโทรศัพท์มือถือมาพักนึก พบว่าอะไหล่ของ Nokia และ Samsung นั้นหาง่าย ซื้อง่าย แต่ของยี่ห้ออื่น ไม่ค่อยยอมผลิตออกมา เอะอะจะให้ส่งเครื่องเข้าศูนย์อย่างเดียว ความคิดที่จะผูกขาดแบบนี้ไม่ค่อยเป็นผลดีเท่าไหร่ พอไม่มีอะไหล่ ช่างซ่อมทั่วไปก็ไม่ค่อยมี ส่งศูนย์ก็รอหลายวัน ผมไม่แปลกใจหรอกที่ Nokia กับ Samsung เค้าขายดี

เครื่อง Nokia 3310 ที่เอามาซ่อมนั้น ซื้อจอมาเปลี่ยน แล้วก็เอาบอร์ดตัวเดิมของเราที่ไม่ได้ใช้ใส่ไปให้ เพราะบอร์ดของเค้ามันโทรออกในย่าน 1800 (Orange & DTAC) ไม่ได้ แต่ 900 ได้สบาย ส่วนบอร์ดเก่าต้องมานั่งวิเคราะห์ดูก่อน ยังระบุไม่ได้ว่า ว่าเป็นที่ภาค RF, HF Filter หรือ ตัว Osillator กันแน่ ไม่อยากเปลี่ยนมั่ว ๆ เหมือนที่เขาทำกัน

Friday, January 13, 2006

Java โดย Oracle JDeveloper 10g

ไปอ่านเจอที่ ไทยรัฐมาว่า Oracle เปิดตัว JDeveloper 10g สำหรับเขียน Java ก็เลยเอามาเขียนไว้

เมื่อสองสามอาทิตย์ที่แล้วลองไปดาวน์โหลด NetBeans 5.0 (Beta) มาลองเขียนเล่น ๆ ดู พบว่าก็พัฒนาไปเยอะแล้วเหมือนกันแฮะ ปีนี้คงได้เขียน Java กันเสียที

ประเดิมซ่อม Samsung A300

ลืมถ่ายรูปตอนซ่อมไว้ว่าทำอะไรยังไงบ้าง เอาไว้เครื่องต่อไปก็แล้วกัน เพราะตอนที่ซ่อมนั้นรีบ ดึกด้วย ง่วงด้วย

เครื่องนี้ใช้งานมาสองปีกว่า (ไม่ใช่ของผมหรอก) หน้าจอดับไม่มีอะไรติดเลย แต่สามารถโทรเข้าโทรออกได้ปกติ เวลาจะกดรับสาย หรือโทรออกต้องจินตนาการเอา ถือไปให้ศูนย์เขาบอกว่าต้องเปลี่ยนจอใหม่ค่าใช้จ่าย 2,500 บาท ก็เลยไม่ซ่อม เอามาซ่อมเอง ลอง ๆ ถอดดูใช้ไขควงแค่ตัวเดียวเอง ตรงที่ถอดยาก ๆ ก็คือฝาพับ ถอดยากมากต้องดันสลักสีดำ ซึ่งซ่อนอยู่ในซอกให้ออก เนื่องจากเป็นการลองถอดครั้งแรก ก็เลยมีรอยนิดหน่อยด้านใน ถ้ามีเครื่องแบบนี้อีกเครื่องรับรองจะไม่ให้เป็นรอยแม้เท่าแมวข่วน เพราะรู้แล้วว่ามันล็อกไว้ยังไงบ้าง

ตอนที่ถอดมานึกว่าสายแพรที่เชื่อมระหว่างจอกับตัวเครื่องมันขาดเฉย ๆ แต่พอเอามาดูปรากฏว่ามันเป็นสายแพรที่เชื่อมกับวงจรของจอทั้งหมด แล้วจอก็ดันประกบติดเป็นแผงวงจรเดียวกันทั้งหน้าและหลังอีกต่างหาก สรุปก็คือต้องเปลี่ยนแผงจอใหม่ทั้งหมด!!! กี่บาทวะเนี่ย แล้วมันจะมีขายหรือเปล่า?

สุดท้ายไปถามที่ร้านอะไหล่ ร้านนึงบอก ๘๐๐ อีกร้านบอก ๕๕๐ คงไม่ต้องบอกว่าผมซื้อร้านไหน แล้วก็เอามาเปลี่ยน ตอนที่เปลี่ยนต้องบัดกรีหูฟัง ออกจากวงจรเดิมแล้วต่อเข้ากับวงจรใหม่ แล้วประกอบเครื่องเรียบร้อยพร้อมทุกอย่าง

กดสวิตช์เปิดเครื่อง.... แล้วนั่งรอเครื่องมันเปิด ลุ้นระทึกว่ามันจะใช้ได้หรือเปล่า ทุกอย่างเปิดขึ้นมาได้ปกติหน้าจอชัดแจ๋วเหมือนของใหม่ (ก็มันจอใหม่นี่นา) ก็เลยลองโทรออก ก็โทรได้ปกติ (ก็มันไม่ได้เสียนี่นา) แล้วก็ลองโทรเข้าแล้วรับสายดู ก็รับได้ปกติ (อันนี้ก็ไม่เสียแล้วจะลองทำไม)

Yes!!! ในที่สุดก็ซ่อมได้..... ^_^

จริง ๆ แล้วไม่เรียกว่าซ่อมดีกว่าเพราะไม่ได้ซ่อมอะไรเลยแค่ซื้อจอมาเปลี่ยนแค่นั้นเอง ง่าย ๆ แค่นี้เองประหยัดตังค์ไปตั้ง ๑,๙๕๐ บาทแนะ

เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้
๑. ไขควงชุดเล็ก ๒. หัวแรง ๓. ตะกั่ว

เครื่องต่อไป Nokia 3310 รุ่นคลาสสิก เพื่อนเอามาให้ซ่อม รุ่นนี้ยังมีใช้อยู่ตามบ้านนอกเยอะแยะ แต่ถ้าเอาไปโทรในกรุงเทพฯ อาจจะต้องรีบพูดรีบวางรีบเก็บ แต่ผมก็ใช้รุ่นนี้อยู - -' เพราะมันยังโทรได้อยู่ไม่เคยทรยศ ทำงานอย่างซื่อสัตย์เสมอมา จะขับไล่ไสส่งก็ดูจะใจดำเกินไป....

Friday, January 06, 2006

Ruby

เห็นเขาคุย ๆ เรื่อง Ruby กันมาพักนึงแล้ว พึ่งได้โอกาส Download มาเล่น ใช้ง่ายดีแฮะ ยังใช้ Rails ไม่ได้ เดี๋ยวลองใหม่ เดี๋ยวก็ได้เองแหละ

อ้างอิง
http://www.rubycentral.com/
http://www.rubyonrails.org/
http://www.ruby-doc.org/docs/ProgrammingRuby/

คงถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้วหละ

ช่วง ๒ - ๓ ปีที่ผ่านมา ความเป็นช่างมันหายไปไหนไม่รู้ เอะอะอะไรเสียขึ้นมามีแต่จะเอาไปให้ศูนย์ ให้ร้านเขาซ่อม คิดว่าเราไม่ควรมาเสียเวลาทำเองเพราะมันไม่คุ้ม เอาความสามารถที่เรามีไปทำอย่างอื่น คุ้มค่ากว่า แต่ปรากฏว่ามันไม่เป็นแบบนั้น ความโง่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาเรื่อย ๆ เพราะเราหยุดอยู่กับที่โลกมันไม่หยุด แต่เราหยุดมันก็เหมือนกับถอยหลังนั่นเอง

ถือโอกาสช่วงปีใหม่เป็นช่วงเปลี่ยนแปลงพอดี ต่อไปนี้อะไรที่เคยทำได้ หรือพอจะทำได้จะทำเองให้หมด ไม่ว่าจะเป็นซ่อมรถ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ซ่อมโทรทัศน์ พัดลม วิทยุ โทรศัพท์มือถือ เครื่องเสียงรถยนต์ เดินสายไฟ ติดตั้งเครื่องทำน้ำอุ่น ซ่อมแอร์ ซ่อมคอมพิวเตอร์ เขียนโปรแกรม ทุก ๆ อย่าง จะซ่อมเอง พร้อมทั้งทำให้พ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ เพื่อน ๆ ทำให้หมด เพื่อสั่งสมประสบการณ์ และให้คนใกล้ชิดได้ใช้บริการง่านซ่อมที่มีคุณภาพ

กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะต่อ ป.โท mechatronic ดีหรือเปล่า หรือว่าจะเรียน ป.ตรี mechanical engineer กับ civil engineer เพราะวิชาพื้นฐานส่วนใหญ่เรียนมาหมดแล้ว ถ้าไปเรียนคงเรียนเฉพาะวิชาหลัก ๆ เท่านั้น และจะเป็นประโยชน์กับตัวเองและสังคมโดยตรงเพราะได้เอามารับใช้สังคมได้ตรง ๆ ตามเจตนาที่วาง ๆ ไว้

จริง ๆ แล้วก็เป็นแค่ความคิดทั้งนั้นแหละ สิ่งที่จะเกิดขึ้นซึ่งเป็นความจริง เดี๋ยวเหตุการณ์มันก็ค่อย ๆ ประคองให้เราทำอย่างนั้น อย่างนี้ไปเองแหละ แม้แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเปลี่ยน แต่เหตุการณ์ต่าง ๆ มันเหมือนบังคับให้เราเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต โอเคเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่เห็นจะเป็นไรเพราะใจมันไม่ค่อยทุกข์แล้ว ถึงเวลาที่ควรทำก็ทำ ก็แค่นั้นเอง ไม่เห็นจะยากหรือลำบากอะไรเลยเลย แค่นี้เองการดำเนินชีวิต ง่าย ๆ แต่มีความสุข แถมเจริญก้าวหน้า ด้วยความไม่อยากอีกต่างหาก สบายสบาย